เกร็ดน่ารู้จาก Bee Movie
เกร็ดน่ารู้
- ตัวอย่างภาพยนตร์ 2 แบบแรก แสดงให้เห็นว่า เจอรี่ ไซน์เฟลด์ พยายามทำการ์ตูนเรื่องนี้ให้เป็นภาพยนตร์ฉบับคนแสดง หลังจากที่ สตีเฟ่น สปีลเบิร์ก ได้ชมแล้วเขากลับพูดขึ้นว่า "ทำไมไม่สร้างเป็นการ์ตูนล่ะ"
- เจอรี่ ไซน์เฟลด์ กล่าวว่า เหตุผลที่เขาเลือกตั้งชื่อตัวละครผึ้งน้อยว่า แบรี่ บี เบนสัน ก็เพื่อเป็นเกียรติแก่ละครซิตคอมเรื่อง เบนสัน ที่ออกฉายในปี 1979 และเขาได้แสดงละครเรื่องนี้เป็นครั้งแรกในบทตัวละครที่ชื่อ แฟรงกี้
- สำเนาฟิล์มภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกส่งไปทางเรือโดยใช้ชื่อปลอมว่า Flower
- ต้องใช้เวลานานถึง 4 ปีในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ และใช้เวลาหนึ่งล้านชั่วโมงให้คนทำงานเพื่อสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ กับต้องใช้เวลาในการจัดการงานทั้งหมดกว่า 25 ล้านชั่วโมงระหว่างขั้นตอนงานสร้าง ซึ่งมากกว่าภาพยนตร์เรื่อง Shrek ภาคแรกถึง 5 เท่า
- ทีมแอนิเมชั่นได้สร้างผึ้งเป็นล้านตัวในเรื่องนี้ โดยเฉพาะฉากที่ฝูงผึ้งช่วยให้เครื่องบินร่อนลงจอด มีผึ้งที่ช่วยพยุงเครื่องบินไว้ถึง 750,000 ตัว และมีอีก 350,000 ตัวรวมกลุ่มกันเป็นรูปดอกไม้รออยู่ที่พื้นดิน
- เจฟฟรีย์ แค็ตเซนเบิร์ก พยายามเกลี้ยกล่อม เจอรี่ ไซน์เฟลด์ อยู่นานกว่า 12 ปีเพื่อให้เขาเข้ามาร่วมงานในการสร้างภาพยนตร์การ์ตูน แต่เจอร์รี่ไม่สนใจ
- คืนหนึ่งขณะ เจอรี่ ไซน์เฟลด์ ดินเนอร์อยู่กับเพื่อนบ้านในแฮมป์ตันส์ ซึ่งคือ สตีเฟ่น สปีลเบิร์ก การนิ่งเงียบระหว่างการสนทนาเป็นผลให้เจอร์รี่เอ่ยออกมาว่าเขานึกอะไรดีๆ ออกเกี่ยวกับภาพยนตร์ การ์ตูนเรื่อง Bee Movie สตีเฟ่นชอบความคิดนี้รวมไปถึงชื่อเรื่อง เขาจึงรีบโทรศัพท์หาเจฟฟรีย์หลังรับประทานอาหารค่ำมื้อนั้นเสร็จ ข้อตกลงถูกกำหนดขึ้นก่อนที่เจอร์รี่จะทันรู้ตัว และแล้วการดำเนินงานสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเริ่มต้นขึ้น
- เจอรี่ ไซน์เฟลด์ รู้สึกทึ่งในตัวผึ้งเสมอมา ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง สีสัน และความจริงที่ว่าพวกมันได้สร้างสิ่งที่น่าทึ่ง เช่นน้ำผึ้ง (ทั้งๆ ที่พวกมันเป็นแค่แมลงตัวเล็กๆ) เขาสงสัยว่าผึ้งจะทำยังไงถ้ารู้ว่าพวกมนุษย์ได้นำผลผลิตที่ล้ำค่าของพวกมันมาขาย และนั่นก็คือที่มาของแนวความคิดในภาพยนตร์เรื่องนี้
- เจอรี่ ไซน์เฟลด์ ชอบใส่รองเท้าเทนนิส และนั่นก็คือรูปแบบการเลือกรองเท้าของผึ้งน้อย แบร์รี่
- ในช่วงแรกๆ ของการออกแบบ แบร์รี่ดูคล้ายกับ เจอรี่ ไซน์เฟลด์ โดยเป็นผึ้งที่ใส่เสื้อสเวตเตอร์ แต่ทุกคนต่างรู้สึกว่างานออกแบบนี้ยังไม่ลงตัว ดังนั้นทางทีมผู้สร้างจึงออกแบบแบร์รี่ให้แตกต่างออกไป โดยให้มีลักษณะรูปร่างที่โค้งมนและดูซื่อมากขึ้น และความคิดนี้ก็ใช้ได้ อย่างไรก็ดี พวกเขาต้องออกแบบตัวละครตัวนี้มากถึง 800-900 แบบก่อนที่จะได้พบแบร์รี่อย่างที่เป็น
- เจอร์รี่ ไซน์เฟลด์ ซึ่งเป็นแฟนผลงานของ เรเน่ เซลล์เวเกอร์ มานาน คิดถึงเธอในบทวาเนสซ่าขึ้นมา แต่เพราะเขากับเรเน่ไม่เคยพบกันมาก่อน เจฟฟรีย์ แค็ตเซนเบิร์ก จึงเป็นคนจัดการจัดให้ทั้งเขาและเธอ นั่งติดกันในการฉายภาพยนตร์เรื่อง Shark Tale รอบปฐมทัศน์ในนิวยอร์กปี 2004 ซึ่งจัดขึ้นที่เซ็นทรัลปาร์ก
- เจอรี่ ไซน์เฟลด์ และ แมตธิว บรอเดอริค เป็นเพื่อนสนิทกันอยู่แล้ว แมตธิวจึงเป็นนักแสดงคนแรกที่เจอร์รี่เลือกมาให้เสียงพากย์เป็นอดัม เพื่อนซี้ของแบร์รี่ เพราะรู้สึกว่ามิตรภาพนอกจอของเขากับแมตธิว จะสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผึ้งคู่ซี้ และการที่แมตทิวปล่อยมุขแบบหน้าตายก็เหมาะที่สุดแล้วสำหรับสวมบทเป็นอดัม
- คริส ร็อก และ เจอรี่ ไซน์เฟลด์ เล่นด้นสดกันเสียเป็นส่วนใหญ่ในฉากที่ต้องสนทนาโต้ตอบกัน แต่เริ่มเดิมที เจ้ายุงมูสบลัด ตัวละครของคริสมีบทพูดอยู่เพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น แต่แล้วความมหัศจรรย์ก็เริ่มบังเกิดระหว่างการบันทึกเสียง บทรับเชิญนี้ได้กลายมาเป็นบทที่มีคำพูดถึง 50 ประโยค และคำพูดประณามพวกยุงสาวของมูสบลัด ที่อยากจะคบหาแต่กับพวกไฮโซก็เป็นผลิตผลจากมันสมองของคริสและเจอรี่แท้ๆ เชียว
- เดิมที เมแกน มัลลัลลี่ ได้รับเลือกให้มาเป็นผู้ให้เสียงแก่ตัวละครราชินีผึ้ง ซึ่งเป็นตัวละครที่ได้รับการพัฒนามานานถึงสองปี อย่างไรก็ดี เมื่อบทนี้ถูกตัดออกอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาของเรื่อง เจอรี่ ไซน์เฟลด์ รู้สึกประทับใจกับเสียงพากย์ของเมแกนจนเขาต้องสร้างตัวละครที่ชื่อทรูดี้ขึ้นมา เพื่อให้เธอยังคงมีส่วนร่วมอยู่ในเรื่องนี้ ทรูดี้ก็คือคนนำเที่ยวโรงงานฮันเน็กซ์
- เจอรี่ ไซน์เฟลด์ ได้เดินทางไปเยี่ยมคนเลี้ยงผึ้งชาวฝรั่งเศสในลองไอส์แลนด์ ตอนช่วงแรกที่เริ่มดำเนินงานสร้างภาพยนตร์ คนเลี้ยงผึ้งดังกล่าวไม่เชื่อเรื่องการสวมใส่ชุดป้องกันผึ้ง และยังกล่าวย้ำกับเจอร์รี่ว่าจะไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้นแน่ ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยดี กระทั่งคนเลี้ยงผึ้งตัดสินใจนำราชินีผึ้งออกมาให้เจอร์รี่ดู และยังไม่ทันจะได้ร้องเตือน ฝูงผึ้งก็เริ่มบินเข้าหาเจอร์รี่ โดยมีผึ้งตัวหนึ่งบินไล่ตามเจอรี่อย่างมุ่งร้าย และต่อยใส่จมูกเขา
- ความทุ่มเทและจินตนาการของ เจอรี่ ไซน์เฟลด์ เห็นได้อย่างเด่นชัด เพราะเขาจะไปปรากฏตัวอยู่ด้วยทุกครั้งที่นักแสดงบันทึกเสียง ซึ่งหมายถึงเขาต้องไปอยู่ในห้องบันทึกเสียงถึง 135 วัน เขาให้เสียงเป็นแบร์รี่ร่วมกับนักแสดงคนอื่นๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นสักเท่าไหร่ ในงานสร้างภาพยนตร์การ์ตูน ทำให้มีการเพิ่มเนื้อหาใหม่ๆ เข้าไปในระหว่างการบันทึกเสียง
- หน่วยเก็บเกสรให้เสียงพากย์โดยทีมนักแสดงตลก และกลุ่มเพื่อนของ เจอร์รี่ ไซน์เฟลด์ ซึ่งรวมถึง ทอม ปาปา และ มาริโอ จอยเนอร์
- ผู้กำกับ ไซม่อน เจ. สมิธ คือผู้ให้เสียงพากย์ที่มีความสามารถ เขาได้บันทึกเสียงต้นแบบอย่างคร่าวๆ ให้กับตัวละครหลายตัว และมีอยู่หลายเสียงที่นำไปใส่ไว้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย อาทิ ผึ้งที่ให้แบร์รี่เซ็นเอกสารก่อนที่เขาจะออกบินไปพร้อมกับหน่วยเก็บเกสร และคนขับรถบรรทุกที่เปิดที่ปัดน้ำฝนใส่แบร์รี่ มูสบลัด และแมลงอีกหลายตัวบนกระจกรถ
- เดฟ ไพเมนเทล หัวหน้าแผนกเนื้อเรื่อง เป็นผู้ให้เสียง เฮ็กเตอร์ บ็อกซ์บอย
- ผู้อำนวยการสร้าง คริสติน่า สตีนเบิร์ก แพ้ผึ้งจริงๆ
- เรย์ ลีอ็อตต้า ได้เจอ เจอรี่ ไซน์เฟลด์ตั้งแต่ช่วงแรกของงานสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ และเมื่อเขารู้ว่าเจอรี่กำลังทำอะไรอยู่ จึงขอเข้ามามีส่วนร่วมด้วยทันที ทั้งคู่ได้มาพบกันอีกครั้งในสองเดือนถัดมา โดยเรย์ได้พูดเตือนเจอรี่ว่าเขายังสนใจอยู่ หนึ่งปีกว่าๆ ต่อมา เมื่อมีบทที่เหมาะสำหรับเรย์ เจอรี่จึงได้ติดต่อไปหา เรย์บอกว่าเจอร์รี่เป็นเพียงคนเดียวในฮอลลีวูดที่รักษาสัญญาที่ได้ให้กันไว้
- ลาร์รี่ มิลเลอร์ เพื่อนและเพื่อนร่วมงานของ เจอรี่ ไซน์เฟลด์ ให้เสียงพากย์เป็นตัวคณบดีมหาวิทยาลัยที่แบร์รี่สำเร็จการศึกษา
- ในการสร้างสองโลก คือ นิวยอร์กซิตี้ และ นิวไฮฟ์ซิตี้ แผนกจัดโมเดลลิ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการสร้างสถานที่ถ่ายทำ 49 แห่ง ตั้งแต่ฉากเล็กๆ อย่างห้องนอนของแบร์รี่จนถึงฉากใหญ่ๆ อย่างเซ็นทรัลปาร์ก ตึกมากกว่า 150 แห่งสำหรับนิวยอร์กซิตี้ ทรงผมที่ต่างกันถึง 103 แบบทั้งสำหรับมนุษย์และผึ้ง ต้นไม้ ดอกไม้ และพืชพันธุ์มากกว่า 300 ชนิด
- รูปทรงที่ดูทันสมัยแต่เน้นลักษณะตามธรรมชาติของเทอร์มินัล TWA ที่สนามบินเจเอฟเค ได้กลายมาเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจสำหรับงานออกแบบรวงผึ้ง
- นักออกแบบจากบริษัทปอร์เช่ออกแบบรถที่ มอนต์โกเมอรี่ ทนายขี้โม้ขับ
- ในเวลาที่ยุ่งวุ่นวายที่สุด แผนกเลย์เอ้าต์จะมีศิลปินถึง 18 คนทำงานเพื่อสร้างเลย์เอ้าต์แบบคร่าวๆ และเลย์เอ้าต์สุดท้ายของภาพยนตร์เรื่องนี้
- แผนกเลย์เอ้าต์ได้สร้าง 15 ช่วงตึกในเมืองแมนฮัตตัน เพื่อใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยอิงจากข้อมูลของถนนสองเส้นหลักที่แผนกโมเดลลิ่งได้ทำเอาไว้
- แผนกเลย์เอ้าต์ได้สร้างฉากมากเกือบสามเท่าของฉากที่ใช้จริงในภาพยนตร์
- ฉากแต่ละฉากจะต้องผ่านขั้นตอนในแผนกเลย์เอ้าต์สี่รอบด้วยกัน นั่นก็คือรอบแรกเพื่อสร้างกล้อง รอบที่สองเพื่อเตรียมงานแอนิเมชั่นด้วยการโหลดและติดตั้งตัวละครทุกตัว รวมถึงของประกอบทุกอย่างที่ผู้สร้างงานแอนิเมชั่นต้องใช้ รอบที่สามติดตั้งเข้าไปเพื่อการตกแต่งฉาก เพื่อการจัดแสง และรอบที่ 4 ตรวจสอบงานกล้องรอบสุดท้ายหลังเสร็จงานแอนิเมชั่นแล้ว
- ในช่วงที่งานวุ่นวายที่สุด มีผู้สร้างงานแอนิเมชั่นถึง 40 ชีวิตทำงานให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้
- เจอร์รี่ ไซน์เฟลด์ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับขั้นตอนการตรวจสอบในงานแอนิเมชั่นด้วย ศิลปินแอนิเมชั่นในฝั่งเวสต์โคสต์จะทำงานออนไลน์กับเขา โดยจะนำเสนอฉากให้เขาได้เห็นในสำนักงานที่นิวยอร์ก ขณะผู้สร้างงานแอนิเมชั่นซึ่งอยู่ในแคลิฟอร์เนีย จะรอรับความเห็นจากเขา เจอร์รี่ยังเดินทางไปยังสตูดิโอเพื่อดูผลลัพธ์ที่ได้ด้วยตาตัวเองด้วย
- แอนิเมเตอร์ต้องสร้างภาพแอนิเมชั่นที่มีความยาวเกือบๆ 11,000 ฟุต
- ช็อตแรกของภาพยนตร์เรื่อง Bee Movie เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 15 เมษายน ปี 2006 ส่วนช็อตสุดท้ายเสร็จสิ้นในวันที่ 18 สิงหาคม ปี 2007
- ตัวละครแบร์รี่ สูงเพียง 0.825 นิ้ว
- ผึ้งทั่วๆ ไปสามารถขยับปีกได้ด้วยความเร็วถึงวินาทีละ 180 ถึง 225 ครั้ง ซึ่งทำให้ลำบากเหมือนกันในการวาดภาพ ดังนั้น ผึ้งในเรื่องนี้ จึงขยับปีกของมันด้วยความเร็ววินาทีละ 6-7 ครั้งเท่านั้นขณะที่มันออกบิน จากนั้น ปีกจะขยับในลักษณะเป็นภาพเบลอ
- ช็อตที่แบร์รี่ยืนอยู่ใต้หน้าต่างของวาเนสซ่าเมื่อน้ำค้างหยดโดนตัวเขา ฉากนี้ฉากเดียวต้องผ่านการปรับเปลี่ยนถึง 640 เทก
- เจ้าหมีวินเซนต์จาก Over the Hedge มาร่วมปรากฏตัวทั้งในภาพยนตร์ตัวอย่างของเรื่องนี้ และในฉากห้องพิจารณาคดี
- หนึ่งในหน้าปกหนังสือแม็กกาซีนในซูเปอร์มาร์เก็ตจะมีภาพของผู้ประสานงานฝ่ายศิลปกรรม เดอเร็ก แม็คเคลิร์ก
- คุณจะได้เห็น คริสตอฟ ลอทเร็ตต์ ผู้กำกับศิลป์ของภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ในชุดว่ายน้ำสปีโด้ ตรงน้ำพุหนึ่งในไฟล์ภาพเรื่องนี้ของเอ็นบีซี
- ทรงผมของ คาเมรอน สเตฟนิ่ง ฝ่ายควบคุมการประสานงานของภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกใช้เป็นต้นแบบทรงผมของตัวละครเคน
- ในชีวิตจริง มีเพียงผึ้งตัวเมียที่เก็บน้ำหวานและเกสร แต่เพื่อให้เหมาะกับเรื่องราวและเพื่อทำให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างผึ้งรูปร่างสูงใหญ่และบึกบึนกับ แบร์รี่ บี เบนสันที่รูปร่างเล็กกว่า ทางทีมงานตัดสินใจสร้างหน่วยเก็บเกสรให้เป็นผึ้งตัวผู้
- พวกผึ้งใน Bee Movie มีสองตา แต่ผึ้งจริงๆ มี 5 ตา สองตาขนาดใหญ่ และสามตาที่เรียกกันว่าโอเซลลี่ ผึ้งทุกตัวในภาพยนตร์เรื่องนี้มีสี่ขา แต่ผึ้งจริงๆ เป็นแมลง จึงมีหกขา ทางทีมผู้สร้างตัดสินใจที่จะปรับเปลี่ยนมัน เพื่อทำให้มันดูเหมือนมนุษย์มากขึ้น
- หนึ่งในข้อสอนใจของเรื่องนี้ คือทุกงานที่ทำล้วนมีความสำคัญ จงทำงานนั้นอย่างเต็มที่
- คิดแบบผึ้ง หมายถึงจงทำงานด้วยกันอย่างเป็นหนึ่งเดียว จงภูมิใจในงานนั้นและคิดถึงกลุ่มเสมอ ไม่ใช่คิดถึงแค่เรื่องตัวเอง
advertisement
วันนี้ในอดีต
- รักแห่งสยามเข้าฉายปี 2007 แสดง มาริโอ้ เมาเร่อ, วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล, กัญญา รัตนเพชร์
- Harry Potter and the Chamber of Secretsเข้าฉายปี 2002 แสดง Daniel Radcliffe , Emma Watson , Rupert Grint
- ตีสาม 3Dเข้าฉายปี 2012 แสดง กาญจน์เกล้า ด้วยเศียรเกล้า, โทนี่ รากแก่น, ชาคริต แย้มนาม
เกร็ดภาพยนตร์
เปิดกรุภาพยนตร์
Sumikko Gurashi the Movie: The Unexpected Picture Book and the Secret Child เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเหล่า ซุมิกโกะ ที่ได้ค้นพบหนังสือภาพลึกลับ ในห้องใต้ดินของร้านกาแฟแห่งหนึ่ง และการผจญภัยก็ได้เริ่...อ่านต่อ»