วิจารณ์ บอดี้ ศพ#19
-
Fernseelee
(เลขที่ 284492)
เมื่อ 9 พ.ค. 55 14:49
ชอบค่ะ ในประเทศไทยจะมีหนังสักกี่เรื่องที่สามารถทำให้คนดูกลับบ้านมานั่งคิดอะไรที่มันยังซ้อนอยู่ในหนัง ทั้งๆที่มันไม่เฉลย แต่คนดูก็สามารถขยายความแต่ละตอนได้เป็นฉากๆ อีกทั้งในด้านจิตวิทยา มีความเหมาะสมมากที่จะนำมาทำเป็นภาพยนต์สุดๆ
-
oclc
(เลขที่ 8889)
เมื่อ 31 ส.ค. 53 11:17
สำหรับ ผม นะ ที่เพิ่งมาดู น่ะ (แผ่น)
25 นาที แรก งง งง อะไรหว่า คืออะไร
หนังก็มาสรุกตอนท้าย แต่ซับซ้อน ก็ ยัง มี งง บ้าง
งง บ้าง
สำหรับ ผม นะ
ดูก็ได้ ไม่ดูก็ได้
ดูแผ่นโอกว่า ถ้าดูโรง คงจะตั้งคำถามว่า งง น่ะ -
moviehardy
(เลขที่ 220552)
เมื่อ 9 ส.ค. 53 02:27
ผมค้นพบว่า ปวีณ มีแนวทางที่ชัดเจนในการทำหนังมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เห็นได้จากตั้งแต่ช่วงเริ่มทำหนังสั้นสมัยเป็นนิสิตคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ เรื่อง พลาด หรือ Antiseptic ที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัวในด้านการเล่าเรื่อง, การตัดต่อ และที่สำคัญคือ ด้านเทคนิคพิเศษ
เทคนิคพิเศษในงานของปวีณ ถือเป็นลายเซ็นที่ติดตัวเขามาจนถึงวันที่ได้กำกับภาพยนตร์เพื่อฉายโรง ได้แก่ บอดี้ ศพ#19, สี่แพร่ง ตอน ยันต์สั่งตาย และ ห้าแพร่ง ตอน หลาวชะโอน โดยเรื่องหลังนี้ปวีณได้ก้าวไปอีกขั้นของการใช้เทคนิคพิเศษในการสร้างภาพยนตร์ นั่นคือ การใช้เทคนิคพิเศษในการสร้างเปรตให้ผู้ชมเห็นอย่างชัดเจนและสมจริงผ่านภาพยนตร์ที่มีประเด็นเรื่อง กรรม จนกลายเป็นตอนที่ผมชอบที่สุดในบรรดา 5 ตอนของภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็ว่าได้
แต่เรื่องที่จะขอพูดถึงในที่นี้ คือผลงานชิ้นแจ้งเกิดของปวีณ ... บอดี้ ศพ#19 (2007) ซึ่งถือเป็นหมุดหมายใหม่ในวงการภาพยนตร์ไทยแนว Psycho-Horror (จิตวิทยาเกี่ยวกับความสยองขวัญ) ของบ้านเรา อีกทั้งมันยังได้เข้าชิงรางวัลในสาขาต่างๆมากมายหลายที่ ไม่ว่าจะเป็นรางวัลภาพยนตร์ไทย ชมรมวิจารณ์บันเทิง, เฉลิมไทยอวอร์ด หรือ รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ที่เข้าชิงถึง 9 สาขา รวมถึงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปีด้วย สืบเนื่องจากหลายองค์ประกอบ โดยเฉพาะความโดดเด่นของตัวบทภาพยนตร์ ที่เรียกได้ว่าเป็นของใหม่ในแวดวงภาพยนตร์ไทยอย่างที่ไม่ได้เห็นมานานในระยะหลังๆมานี้
บอดี้ ศพ#19 เขียนบทโดย ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล (ผู้กำกับ รักแห่งสยาม) และ เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ (ผู้เขียนบท 13 เกมสยอง) สร้างและจัดจำหน่าย โดย บริษัท จีเอ็มเอ็ม ไท หับ จำกัด (GTH Co.,Ltd.) มีที่มาจากการนำ Keywords หรือ หัวข้อ (Content) ซึ่งเป็นข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ เรื่องหมอฆ่าเมีย มาสร้างสรรค์และแปรสภาพให้กลายมาเป็นธุรกิจบันเทิงในรูปแบบภาพยนตร์ได้อย่างชาญฉลาด ก่อนนำมาขยายต่อเป็นโครงเรื่อง (Plot) และแตกเป็นประเด็น (Subject) ออกมาในแบบหนังระทึกขวัญ-สยองขวัญจากต่างประเทศ ที่ซึ่งไอเดียนี้ถูกใช้มานานแล้วและไม่ใช่ของใหม่แต่อย่างใด นั่นคือวิธีการเล่าเรื่องเพื่อหักมุมในตอนจบ (Twist Ending) ซึ่งหนังจากประเทศสหรัฐอเมริกาอย่าง Identity (James Mangold, 2003) น่าจะเป็นแรงบันดาลใจสำคัญของภาพยนตร์เรื่อง บอดี้ ศพ#19 กับการเล่าเรื่องในลักษณะนี้ ที่สำคัญยังมีการนำเสนอในประเด็นเดียวกันด้วย คือ ภาวะผู้ป่วยโรคจิตเภท ซึ่งมีการเปลี่ยนบุคลิก, จิตใจ จากคนเดิมเป็นอีกคน หรือหลายๆคน (Multiple Personalities) โดยเกิดจากบาดแผลภายใต้จิตสำนึก (Psychic trauma) เป็นตัวขับเคลื่อน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นปัจจัยเอื้อประโยชน์ต่อการนำเสนอแบบต้องคิดตามไปขณะรับชม และสามารถหลอกผู้ชมได้สนิทใจตามวัตถุประสงค์ของภาพยนตร์ คือ เป็นการพาผู้ชมหลุดพ้นจากโลกความเป็นจริง (Escapism) นั่นเอง
บอดี้ ศพ#19 จัดอยู่ในหมวดหมู่ภาพยนตร์ที่โดดเด่นด้านการเล่าเรื่อง (Narrative Function) และสร้างความตื่นตาตื่นใจ (Spectual Function) เป็นพิเศษ ในขณะเดียวกัน ด้านการสร้างอารมณ์ (Emotional Function) หรือ การใช้สติปัญญารับชมเพื่อนำมาวิเคราะห์ตามความสามารถของบุคคล (Intellectual Function) ก็เป็นสิ่งที่น่ากล่าวถึงไม่แพ้กัน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลมาจากการแสดงที่ลงตัวของอารักษ์ อมรศุภศิริ, กฤตธีรา อินพรวิจิตร, อรจิรา แหลมวิไล, ภัทรวรินทร์ ทิมกุล และ ปรเมศร์ น้อยอ่ำ ด้านเพลง-ดนตรีประกอบที่คุมโทนของเรื่องไว้ได้แบบเอาอยู่ อีกทั้งด้านเทคนิคพิเศษ การกำกับศิลป์ การแต่งหน้า การออกแบบงานสร้าง หรือ การลำดับภาพ ฯลฯ ก็ล้วนสอดรับกับเรื่องราวได้เป็นอย่างดีตั้งแต่วินาทีแรกของภาพยนตร์เรื่องนี้
เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อชลสิทธิ์ หรือ ชล (อารักษ์ อมรศุภสิริ) นักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ [มีเอ๋ (อรจิรา แหลมวิไล) พี่สาวซึ่งเป็นนักศึกษาแพทย์ พักอาศัยร่วมกันในบ้านหลังหนึ่ง] รู้สึกถึงเหตุการณ์แปลกๆ หลังจากที่เขาฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ชลจึงไปพบกับหมอจิ๊บ (วัสนัย ภคพงศ์พันธ์) จิตแพทย์ แต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น อีกทั้งยังเห็นผีมาหลอกเขาด้วย เอ๋จึงแนะนำให้ชลไปปรึกษากับหมออุษา (กฤตธีรา อินพรวิจิตร) จิตแพทย์ ซึ่งกำลังมีความสัมพันธ์อย่างระหองระแหงกับหมอสุธี (ปรเมศร์ น้อยอ่ำ) สามีของเธอ
เหตุการณ์ดำเนินไปจนกระทั่งชลเจอหลักฐานสุดท้าย คือ ตู้เก็บศพหมายเลข 19 ในโรงพยาบาล เมื่อชลเปิดออก กลับพบว่าในตู้นั้นคือศพที่มีใบหน้าเหมือนกับชล ... ชลก็คือสุธีที่ป่วยเป็นอาการบุคลิกวิปลาส และเป็นคนฆ่าดาราราย (ภัทรวรินทร์ ทิมกุล) ผู้หญิงที่ชลฝันเห็นมาตลอดนั่นเอง ชลที่สุธีสร้างบุคลิกใหม่ขึ้นก็คือน้องชายของดารารายที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ ส่วนเอ๋เป็นคนที่สุธีสมมติขึ้นให้มีบุคลิกเหมือนดาราราย
ก่อนที่ดารารายจะหมดสติด้วยฤทธิ์ยาที่หมอสุธีวางเพื่อหมายจะฆ่านั้น เธอได้ใช้การสะกดจิตสะกดด้วยเพลง "คิดถึงเธอทุกที...ที่อยู่คนเดียว" เมื่อหมอสุธีได้ฟังเพลงนี้จะเปลี่ยนบุคลิกเป็นชลในทันที หมอสุธีได้นำร่างของดารารายเข้ามาในบ้านร้างแห่งหนึ่งเพื่อล้างตัวและหั่นศพ แล้วนำไปทิ้งไว้ สุดท้ายสุธีหนีความผิดที่ตนก่อไม่พ้น ถูกจับกุมและขึ้นศาล กระนั้นบุคลิกของชลก็ยังติดตัวหมอสุธีไปตลอด กระทั่งเมื่อสุธีหนีจากรถควบคุมผู้ต้องขัง ถูกเหล็กที่หล่นใส่รถบรรทุกเสียบทะลุร่างจนต้องส่งโรงพยาบาล ณ ที่นั่น ผีดารารายได้คลายสะกดด้วยการดีดนิ้ว และหมอสุธีได้รับความเจ็บปวดทรมานจากกรรมของตนในที่สุด
จะเห็นได้ว่าเรื่องราวที่นำเสนอออกมา สามารถตีแผ่หรือแฝงไว้ด้วยประเด็นสำคัญในสังคมไทยยุคหนึ่งได้อย่างแยบคาย ผ่าน Theme ที่ชัดเจน การใช้สัญลักษณ์ในฉากต่างๆเพื่อสร้างความหมายและนัยยะ (แหวน, สัตว์, ผี, ทารกตัวอ่อน) มุมกล้อง (ระดับสายตาบ่อยครั้ง) และ ขนาดภาพ (Full Shot และ Medium Shot เป็นส่วนใหญ่) ก็สามารถสร้างอารมณ์ชวนสงสัยให้ผู้ชมได้ตลอดเวลา ตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องที่โรงละครแบบไม่ได้บอกอะไรกับผู้ชมเลยทั้งสิ้น ก่อนที่ภาพยนตร์จะเริ่มเดินหน้าไปพร้อมๆกับการเปิดเผยรายละเอียดทีละนิด เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกมีส่วนร่วมในการติดตามและเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวไปตลอด อีกทั้งยังท้าทายในเรื่องการปะติดปะต่อเรื่องราวตามความสามารถแต่ละบุคคล ก่อนจะเข้าสู่ช่วง Climax ซึ่งเป็นการเฉลยปมสำคัญในท้ายที่สุด ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมชนิดเรียกได้ว่าเกินคาดอยู่พอสมควร
จนถึงวันนี้ ภาพยนตร์เรื่อง บอดี้ ศพ#19 ก็ได้กลายเป็นที่กล่าวถึงในเรื่องความแปลกใหม่ในวงการภาพยนตร์ไทยแนว Psycho-Horror ผ่านมุมมอง ตัวตน และการกำกับของ ปวีณ ภูริจิตปัญญา ซึ่งมีแนวทางที่เป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นชัดเจน โดยมันยังเป็นภาพยนตร์ที่อยู่ในความทรงจำของใครหลายคน และเป็นภาพยนตร์ในดวงใจของผมอีกเรื่องหนึ่งไปโดยปริยาย -
oonngggg
(เลขที่ 204733)
เมื่อ 31 ต.ค. 52 16:33
คำเตือน: บางส่วนของคำวิจารณ์นี้เหมาะกับผู้ที่ชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วเท่านั้น (ย้อนกลับไปดูหนังเก่า)
(Spoil)
เป็นหนังที่หักมุมได้ดีเทียบ Saw(ภาคแรก) มากเลยอ่ะ (แต่หักมุมก็ยังพอนึกรางแบบ มันมีหลายแบบจะให้คิดยังไงอ่ะ แต่ แบบนี้ ก็ยังพอเดาออกอยู่นิดนิด เป็น รางฯเท่านั้นอ่ะ แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่า ตรงด้วยในบางอย่าง แต่ อีกอย่างจับไม่ออกอ่ะ เพราะ (เวลาดูยึกหลักว่ามันต้องสมเหตุผลมากเกินไปจนจับไม่ออกเลย))
แต่อันที่บอกหมดเลย คือ ฉากที่บอกว่า ชลคุณเป็นคนฆ่าทุกคน
หนังขาดสมเหตุสมผลอยู่นิดหนึ่ง อยู่ โจทย์ข้อนี้ Body ยังดีโจทย์ไม่แตก ครบ 100%
คน2คนอยู่ในร่างเดียวกันโดย จะต้องเอาคนที่1 โชว์แล้ว คนที่2 เก็บไว้ก่อน เพื่อจะรอการหักมุมว่า ที่จริงก็มีคนเดียวแหละแต่มีสมองที่คิดว่าเราเป็นคนที่ 2 และ ต้องเล่นกลับตัวละครประกอบและสื่อเข้าไปด้วยกันเพื่อให้คนดูรู้สึกมีเหตุผลอยู่ด้วย ก็ยอมรับว่า ยาก ครับ เพราะว่า ถ้าจะใ้ห้มีเหตุผลเลยมันก็เท่ากับว่า "มันบอกการหักมุมหมดเลยอ่ะ" Body จึงจำต้องตัด โจทย์ข้อนี้ไป เพื่อให้มันหักมุมได้ดีอยู่ด้วย
เนื้อเรื่องก็ Ok น่ะ เป็นแนว คลี่ปมไปเรื่อยฯ และมีหักมุมอยู่อ่่ะ (แต่ก็มีคนตายไปด้วย สงสาร คนตายอ่ะ) จนเพิ่งรู้ว่า กรรมที่เคยก่อไว้ ปมแต่ล่ะปมนั้นที่ถูกคลี่ ก็สนองกลับอยู่ด้วยไปด้วยกันอ่ะ (/Spoil)
เพลงประกอบ - อันนี้ดีเลย จะเรียกว่าดีมากเลยก็ได้
ฉาก - แทบจะเรียกว่า ทำผมนั่งนิ่งไม่รู้สึกเลย ไม่น่ากลัว แต่ถ้าเป็นจริง(โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว น่ากลัวที่สุด) ภาพ Slow มุมกล้อง นี้ อันนี้เยี่ยมมากอ่ะ เีรียกได้เลยว่า แนวใหม่มาก ภาพ Slow มุมกล้อง อะไรอย่างงี้อ่ะ (ฝรั่งเลย) CG ก็ งั้น/ok น่ะ
ยอดเยี่ยมแหะ เต็ม 10 ให้ 9.5 อ่ะ -
triplebook
(ไม่ได้เป็นสมาชิก)
เมื่อ 25 มี.ค. 52 20:25
ตั้งแต่ดูหนังแนวสยองขวัญมา เพิ่งจะเห็นเรื่องนี้แหละ ที่หักมุมได้แตกต่างมากกว่าทุกเรื่องที่เคยดูมา แล้วก็วางโครงเรื่องได้สุดยอดมากๆ การหักมุมก็ถือว่าสุดยอดไม่แพ้กัน ถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไปฉายในต่างประเทศ ก็ไม่อายใคร เพราะหนังไทยแนวนี้ไม่ค่อยมีใครทำมาก่อน ให้ 10/10 เลย ครับ
-
merry
(ไม่ได้เป็นสมาชิก)
เมื่อ 21 มิ.ย. 51 21:36
สมบูรณ์แบบ ถ้าเทียบกับหนังผีไทยในปัจจุบัน ถือว่าครบถ้วนตามองค์ประกอบหนังดี
-
dancechw.
(เลขที่ 163713)
เมื่อ 26 เม.ย. 51 11:29
สำหรับผม ทำห่วยครับ เพราะ...
1.CG ที่ทำออกมานั้นยังไม่เนียนพอ
2.ตัวหนังยาวเกินไปไม่เหมาะสมกับเรื่อง
3.ผีไม่น่ากลัวอย่างกับสัตว์ประหลาด(สุดๆ ไม่น่ากลัว)
สรุป ให้ 6/10 เกรดC ครับ -
pairash
(เลขที่ 57950)
เมื่อ 14 มี.ค. 51 09:57
เนื้อเรื่องดี ตอนจบเยี่ยม แต่ไม่ชอบผีทำแบบเหมือนเอเลี่ยน มันดูตลกซะมากกว่า
-
Manosoma
(ไม่ได้เป็นสมาชิก)
เมื่อ 10 มี.ค. 51 16:45
คำเตือน: บางส่วนของคำวิจารณ์นี้เหมาะกับผู้ที่ชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วเท่านั้น ผมไม่เคลียร์ในหนังรอบแรกนะครับ และก็ยังงงๆว่าดารารายกะเอ๋เนี่ยคนเดียวกันหรือเปล่า...?? สรุปคือคนเดียวกัน 555+
.
.
เพิ่งไปซื้อ DVD บอดี้มา ฟังเสียงของผู้กำกับคุณปวีณ กับนักแสดงนำคุณเป้ แล้ว ทุกอย่างกระจ่างเลยครับ ขอบคุณมากที่ คัดคุณภาพมาให้เราชมกัน
.
.
กราฟฟิกเรื่องต่อไปขอให้ทำให้ดีๆ ยิ่งๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ นะครับ
GTH FC. -
~tOnG~
(ไม่ได้เป็นสมาชิก)
เมื่อ 22 ม.ค. 51 12:50
เนื้อเรื่องและมุมกล้องขอชมว่าสุดยอดมากเลยครับ รวมทั้งCGที่ทำออกมาผมว่าดูดีเลยนะในระดับเอเชีย ถ้าเอาเรื่งนี้ไปฉายต่างประเทศผมว่าไม่อายใครเลยนะ ให้8.5/10ในระดับโลก
ให้10/10ในระดับเอเชียเลยครับ
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google+ หรือ Facebook ก็ได้
Facebook | Google+
advertisement
วันนี้ในอดีต
- Sherlock Holmes: A Game of Shadowsเข้าฉายปี 2011 แสดง Robert Downey Jr., Jude Law, Noomi Rapace
- โลกทั้งใบให้นายคนเดียวเข้าฉายปี 1995 แสดง สมชาย เข็มกลัด , ปราโมทย์ แสงศร , สุทธิดา เกษมสันต์ ณ อยุธยา
- Arthur Christmasเข้าฉายปี 2011 แสดง James McAvoy, Jim Broadbent, Bill Nighy
เกร็ดภาพยนตร์
- Penguins of Madagascar - ภาพยนตร์เรื่องนี้มีแผนออกฉายเดือนมีนาคม 2015 แต่หลังจากกระบวนการสร้างเสร็จไวกว่าที่กำหนดไว้ จึงเริ่มออกฉายจริงเดือนพฤศจิกายน 2014 อ่านต่อ»
- Birdman - ไมเคิล คีตัน ผู้รับบท ริกแกน และนักแสดงคนอื่นๆ ต้องปรับตัวให้เข้ากับการกำกับที่เข้มงวดของผู้กำกับ อเลฮันโดร กอนซาเลซ อินาร์ริตู ที่ให้นักแสดงแสดงแต่ละฉากความยาว 15 หน้าก่อนจะตัดฉากต่อไป อ่านต่อ»
เปิดกรุภาพยนตร์
De De Pyaar De พ่อเลี้ยงเดี่ยววัย 50 ปี ต้องพบกับการไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรงจากครอบครัว และภรรยาเก่าของเขา เมื่อเขาตกหลุมรักกับหญิงสาววั...อ่านต่อ»