วิจารณ์ Superman Returns

วิจารณ์ภาพยนตร์
  • เมื่อ 8 ก.ค. 49 16:58

    ชอบมากครับ
    คุ้มค่ากับการรอคอย ผู้กำกับนำเสนองานออกมาได้ดีมากครับ ทั้งตัวบทที่ทำได้ราบรื่นถึงแม้จะมีสะดุดบ้างในช่วงแรกๆ ทำให้คนที่ไม่เคยดู superman มาเลยไม่เข้าใจแล้วอาจหาว่าหนังอืด แต่สำหรับผมเข้าใจในจุดที่ผู้กำกับต้องการจะสื่อออกมาครับ ส่วนในด้านการ production ต้องยอมรับว่าทำออกมาได้ดีมาก
    โดยส่วนตัวแล้วผมว่าคุ้มค่าครับ หากเราจะเสียเงินเข้าไปดูหนังสักเรื่องนึง เพราะยังไง superman ก็คือ super hero ของคนกว่าค่อนโลกอยู่แล้ว จะเป็นไรไปหากคุณจะเป็นแฟนของ super hero คนนี้อีกสักคน

  • เมื่อ 5 ก.ค. 49 21:58

    อืม พระเอก หล่อมากกกก : )

  • เมื่อ 5 ก.ค. 49 19:34

    โอเคกว่าที่คิดครับ(หลังจากที่ได้ยินคนพูดหนาหูว่าหนังงั้นๆ) ชอบงานโปรดักชั่น อลังการมากๆครับ

  • เมื่อ 5 ก.ค. 49 17:21

    ชอบมาก ๆ เละโดยเฉพาะ Brandon Routh

  • เมื่อ 5 ก.ค. 49 11:16

    คุณบอล เขียนได้ดีจริงๆ กว่าจะอ่านจบ....เหนื่อย

    โดยรวม ผมชอบภาคนี้มากนะ เป็นเพราะ SuperMan คือ ขวัญใจผมเลยแหละ

  • เมื่อ 4 ก.ค. 49 18:42

    ผมว่าเป็นการรีเทิร์นที่สมแล้วครับ เพราะเกริ่นเนื้อเรื่องของตัวซูเปอร์แมนมาใหม่ ไม่ได้อยู่ๆมาบู๊ไรนัก ภาคนี้สื่ออารมณ์ ความรู้สึกได้ดีพอสมควรเลย ถ้าจะดูบู๊ๆ ต้องรอภาค 2 หละ มีแน่ๆ ภาคนี้เหมือนเกริ่นมาก่อน

  • เมื่อ 4 ก.ค. 49 18:36

    ดูแล้วเน่าสุดๆไม่ค่อยได้ให้ไปทางแอ็กชั่นเลย (เหมือนfantastic four) ดราม่ามากๆๆ ไม่ค่อยดีนะ แต่ก็ใช้ได้ในระดับหนึ่ง

  • เมื่อ 4 ก.ค. 49 17:05

    คุณบอลเขียนยาวมากเลยอ่า อ่านเท่าไรก็ไม่จบซักที แต่เขียนดีมากๆเลยครับ

  • เมื่อ 4 ก.ค. 49 15:47

    เป็นหนังในดวงใจเลยแหละ พระเอกหล่อ บทดีมาก ชอบผู้กำกับ

  • เมื่อ 4 ก.ค. 49 11:56

    นับจากปี 1987 ที่ Superman IV: The Quest for Peace ออกฉาย Superman ก็ไม่เคยมีโอกาสออกมาวาดลวดลายบนจอใหญ่อีกเลย แถมครั้งนั้นยังเป็นการปิดฉากที่ไม่สวยงามเท่าไรนัก เพราะหนังไม่ประสบความสำเร็จจนน่าจะเรียกได้ว่าสองภาคสุดท้ายคือ สภาวะขาลงของ Superman อย่างแท้จริง

    ต่อมา Superman กลายเป็นอาถรรพณ์ที่ใครคิดแตะ ก็ย่อมมีอุปสรรคจนต้องถอยฉากออกมาทุกครั้ง หลายผู้กำกับที่มาวนเวียนในโครงการปลุกผี Superman ไม่ว่าจะเป็น Michael Bay , Mc G, Brett Ratner และโครงการที่ใกล้เคียงความจริงมากที่สุดคือ Superman Lives ของ Tim Burton กับแผนจะนำ Nicholas cage มาบินบนฟ้า แต่เพราะความเป็นโปรเจคต์ที่ยิ่งใหญ่และมาพร้อมกับความคาดหวังสูงลิบ ส่งผลให้ ใครที่มากุมบังเหียนต่างก็ต้องแบกรับความกดดันตามมา ปัญหาที่เกิดขึ้นกับทุกโครงการไม่ว่าจะเป็น บทที่ไม่ดีพอ , ทุนสร้างที่น้อยไป , นักแสดงไม่โดนใจ ฯลฯ ล้วนเป็นเหตุให้ทุกโครงการต้องพับเก็บไว้มาตลอดเกือบยี่สิบปี
    หากชีวิตของ Spiderman ในโลกความจริง เป็นอย่างที่ลุงเบนของเขาว่าไว้ว่า
    "อำนาจที่ยิ่งใหญ่ มากับ ความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง"
    ชีวิตของ Superman ในโลกเซลลูลอยด์ ก็ตกอยู่ในสภาพคล้ายๆกันนั่นคือ
    "หนังที่ยิ่งใหญ่ ก็ย่อมมาพร้อมกับ ความคาดหวังที่ใหญ่ยิ่ง"
    ...เชื่อว่าใครก็ตามที่เติบโตทันหนัง Superman เรืองอำนาจจากจุดเริ่มต้นเมื่อปี 1978 มันคงยากที่จะมีซูเปอร์ฮีโร่คนไหนๆมาลบภาพเขาไปจากใจ แม้ว่าตอนนี้เด็กรุ่นใหม่ๆจะหันกลับไปหยิบภาคแรกมาดูก็อาจสงสัยว่าทำไม รุ่นก่อนๆที่หลงรัก Superman ในเมื่อหนังออกจะเชยขนาดนั้น ความยิ่งใหญ่ของ Superman ไม่ได้มาจากความเป็นหนังฟอร์มใหญ่ทุนสูง แต่เพราะ Superman เป็นเหมือน บุคคลอุดมคติในหลายๆด้าน (ideal figures) ไม่ใช่แค่สำหรับชาวอเมริกา แต่ เขามีอิทธิพลกับคนทั่วโลก
    ความเป็นอุดมคติของ Superman
    ..แม้ว่าทุกวันนี้ผมจะชอบฮีโร่ที่มีความหมองหม่น ให้ลองคิดสมมติเล่นๆ ผมก็อยากเป็นเศรษฐีอมทุกข์สวมหน้ากากตอนกลางคืนอย่าง Batman แต่สุดท้ายแล้ว หากให้ผมบอกชื่อซูเปอร์ฮีโร่คนแรกที่นึกออก คนแรกที่เราอยากให้เขามาช่วยเหลือ คนๆนั้นย่อมเป็น Superman
    เพราะหากไม่นับอาการแพ้คริปโตไนท์ที่เป็นจุดอ่อนเดียวของเขา Superman เป็นเหมือนพระเจ้าของซูเปอร์ฮีโร่ในการรวบความสามารถทุกอย่างไว้กับตัวอย่างสมบูรณ์แบบ(ideal superhero) เช่น ตามองทะลุ+ยิงเลเซอร์ ,หูทิพย์ได้ยินระยะไกล , ปากเป่าไฟดับ , ร่างกายเหล็กไหลยิงยังไงก็แค่คัน ฯลฯ

    ไม่ใช่แค่นั้น Superman ยังเป็นตัวละครที่เรียกได้ว่ามี ความดีพร้อม ในตัวชนิดไม่มีรอยตำหนิ เราแทบจะไม่เคยเห็นด้านมืดในตัวของเขาเลย เขายังเป็นเหมือนตัวแทนของความดีงาม(goodness) และ คุณธรรม(moral) เป็นเหมือน แสงสว่างนำทางดังที่ Jor-El พ่อของเขาบอกกับเขาไว้

    จากหลายๆคุณสมบัติข้างต้นทำให้ Superman กลายมาเป็นภาพลักษณ์ของ ผู้ปกป้องหรือผู้กอบกู้ในอุดมคติ (ideal savior) อยู่ในใจคนโดยไม่รู้ตัว เพราะในขณะที่ Batman ต้องรอให้ผู้คนที่เดือดร้อนส่องไฟขึ้นฟ้า แต่หูทิพย์ของ Superman สามารถได้ยินคนทุกข์ร้อนคร่ำครวญอยู่ทั่วโลกและพร้อมบินตรงมาช่วยเหลือโดยไม่มีข้อแม้ ยิ่งบวกกับในภาคนี้ในฉากที่เขาลอยตัวฟังเสียงคร่ำครวญของผู้คนอยู่เหนือโลกมนุษย์ จึงไม่น่าแปลกใจที่ใครต่อใครเปรียบเทียบเขาไปเป็นเสมือนกับสัญลักษณ์ของพระเจ้า

    ในจินตนาการ หลายๆคนจึงอาจไม่ได้อยากเป็น Superman เป็นอันดับหนึ่ง อาจเพราะในเชิงทฤษฎีทางจิตวิทยา เขามีความเป็นอุดมคติ(ego ideal)ที่คนดูรู้สึกว่าอยู่ไกลเกินกว่าจะไปถึง กระนั้นก็ดี คนส่วนใหญ่กลับนึกถึงเขาเป็นคนแรกเมื่อมีปัญหาก็เพราะเรารู้ว่าเขาจะมาแก้ปัญหาให้เราได้เสมอ เขาคือ ภาพของพ่อในอุดมคติที่เราอยากจะมี ภาพของพี่ชายที่เราอยากจะให้อยู่ข้างกาย ด้วยเหตุนี้ ภาพลักษณ์ที่เป็นอุดมคติของเขาจึงอยู่ในมโนสำนึกของผู้คนทั่วโลกโดยอัตโนมัติ เพราะอย่างน้อยในจิตใต้สำนึกคนเราทุกคนล้วนต้องการผู้ปกป้องและผู้ช่วยเหลือ

    เราอาจไม่ได้มีเขาอยู่ในโลกความจริง (reality) แต่การมีเขาในโลกจินตนาการ (fantasy) มันก็ทำให้เรามีความหวัง มีความเชื่อมั่น ในการสู้กับปัญหาที่เข้ามาในชีวิต

    ....ตำนานบทใหม่ของ Superman โดย Bryan Singer ทำให้เขาเริ่มขยับตัวเข้ามาใกล้ความเป็นมนุษย์ธรรมดามากยิ่งขึ้น ด้วยการใส่อารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลายเข้าไปให้กับตัวละครโดยไม่ได้ทำลายภาพอุดมคติเดิมของ Superman

    ผู้กำกับ Bryan Singer คงรู้ดีว่า ยิ่งใส่ศัตรูที่เป็นมนุษย์ต่างดาวที่เก่งเพียงใดยิ่งทำให้ Superman อยู่ห่างไกลจากคนดูมากยิ่งขึ้น ใน Superman returns เขาจึงเลือกใส่ ศัตรูภายในที่มนุษย์ทุกคนล้วนต้องเผชิญ นั่นคือ ความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว ที่เกิดจาก การสูญเสีย อันเป็นผลมากจาก ความรัก
    ความรักของ Superman
    Superman จาก Lois Lane ไปเมื่อ 5 ปีก่อนโดยไม่มีแม้คำร่ำลา และเขากลับมาเพื่อพบกับความสูญเสีย เมื่อเขาพบว่า Lois Lane มีลูกแล้วและกำลังใช้ชีวิตอยู่กับผู้ชายอีกคน เธอกำลังจะ ได้รับพูลิตเซอร์จากงานข่าวที่เธอเขียนขึ้นว่า “ทำไมโลกนี้จึงไม่ต้องการ Superman”
    มันทำให้เราได้เห็น ความอ่อนแอในตัวผู้ชายที่เข้มแข็งและสมบูรณ์แบบอย่าง Superman จิตใจของผู้ชายที่แตกสลายเมื่อหญิงที่ตัวเองรักกำลังจะจากไป เขายืนอยู่ภายนอกบ้านของเธอเพื่อที่จะได้ยินเธอพูดขึ้นมาว่า เธอไม่ได้รัก Superman
    สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งอย่าง Lois Lane มันคงเป็นความรู้สึกไม่มั่นคง หากชายคนที่เธอรักไม่มีความแน่นอนในชีวิต นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป แถมครั้งนี้ยังเป็นการจากไปยาวนานโดยไม่ได้มีวี่แววว่าจะกลับมา
    เธอเองก็คงไม่รู้ว่า สำหรับ Superman แล้วมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกับการทำตัวเป็นชายคนรักที่ดีเหมือนคนทั่วๆไป แม้เขาจะอยากเป็นเพียงใดก็ตาม
    เขาไม่อาจบอกคำร่ำลาเพราะมันเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับผู้ชายอย่างเขา เขาต้องมีความรักอยู่อย่างซ่อนเร้นไม่อาจเปิดเผยตัวตน เขาจะบอกเธอได้อย่างไรว่าก่อนหน้านั้น เขาไม่เคยอยู่ห่างกายเธอ เพียงแต่เขาอยู่ภายใต้ภาพลักษณ์ของชายชื่อ Clark Kent
    เวลาเดียวที่เขาแสดงความรักออกมากับเธอได้คือเมื่อเขาสวมชุด Superman แต่ช่วงเวลานั้นมันก็แสนสั้น เพราะเมื่อใดที่เขาสวมชุดนั้นมันหมายความถึง มีความทุกข์ร้อนของมนุษย์โลกและเขาต้องไปช่วยเหลือผู้คน
    ความรักของ Lois Lane
    แม้เธอจะเขียนบทความว่าไม่ต้องการ Superman แม้เธอจะไม่สนใจข่าวของเขา แต่ความรักที่เธอตัดสินใจก้าวเดินต่อไปด้วยการเลือก Richard White ชายหนุ่มหลานเจ้าของ Daily Planet ผู้มีอาชีพขับเครื่องบิน มันสะท้อนส่วนที่เธอยังต้องการ Superman อยู่ในจิตใจเบื้องลึก
    อาชีพนักบินของ Richard เป็นการตอกย้ำของการที่เธอไม่สามารถลืม Superman เพราะการเป็นนักบินของเขา สามารถพาเธอขึ้นไปอยู่จุดเดียวกับที่ Superman และ เธอเคยอยู่ร่วมกัน นั่นคือ เวลาของทั้งสองคนบนท้องฟ้า เขาก็เป็นเหมือนตัวแทนของ Superman ที่ไม่เคยหายไปจากใจเธอ

    เธอหวังว่า เขาจะมาแทนที่ Superman แต่ เธอเองก็คงรู้ความรู้สึกในใจอยู่ดี ว่าการบินไปกับ Richard มันต่างจากบินไปกับ Superman

    แล้วเมื่อเขากลับมา ความรู้สึกลังเลใจก็ย่อมเกิดขึ้น ระหว่าง คนหนึ่งคือคนที่รักเธอและอยู่ในโลกของความจริงที่เธอใช้ชีวิตอยู่ด้วย กับ อีกคนหนึ่งคือคนที่เธอรักแต่เหมือนอยู่ห่างไกลคนละโลก

    ...เรื่องราวความรักสามเส้าครั้งนี้ต่างจากในอดีตที่ เป็น รักสามเส้าของคนสองคน คือ Clark Kent รัก Lois Lane ส่วน Lois Lane รัก Superman แต่ก็ยังก้ำกึ่งในความรู้สึกที่มีกับ Clark Kent

    ในภาคนี้เป็นรักสามเส้าของคนสามคน Richard เป็นตัวแปรใหม่ที่เข้ามาอยู่ตรงกลางระหว่าง เขา และ เธอ และ คนเขียนบทก็สร้างตัวละคร Richard ให้เป็นชายหนุ่มบุคคลที่สามแสนดี จนคนดูก็อดสงสารไม่ได้ เพราะแม้เขาจะดีเพียงใด แม้เขาจะรักเธอมากไม่แพ้ใคร แต่เราก็เห็นว่า Superman ก็ไม่เคยลบไปจากใจของ Lois Lane

    ...และด้วยความรักที่หนังสอดแทรกมาเป็นธีมหลักของหนังภาคนี้เอง ทำให้เดิมภาพอุดมคติของ Superman อยู่ในฐานะ ผู้ปกป้อง ผู้กอบกู้ ต้องเพิ่ม ภาพลักษณ์ใหม่ที่สาวๆส่วนใหญ่อยากจะมีข้างกาย นั่นคือ ภาพอุดมคติของคนรัก ไม่ใช่แค่ความหล่อของ Brandon Routh ที่จะทำให้สาวๆใจละลาย แต่ยังเป็น บทที่เขียนมาให้เขาเป็นชายหนุ่มที่มีความรู้สึกอ่อนไหว ชายหนุ่มที่พร้อมจะมาอยู่เคียงข้างคนรักเมื่อผจญกับปัญหา ชายหนุ่มที่อาจจะปากหนักกับการบอกลาแต่เมื่อถึงเวลาที่เขาต้องเอ่ยปากมันก็เป็นอีกหนึ่งฉากร่ำลาที่แสนเศร้า ยิ่งบวกกับ คำพูดหวานๆที่มีนัยยะซ่อนเร้นเผยตัวตนที่ว่า “I'll always around” นี่คือภาพลักษณ์ใหม่ที่ Superman เวอร์ชั่นนี้ทำได้ดี

    ... ในอดีต Superman อยู่ห่างไกลจากคนธรรมดามาก ไม่ใช่แค่เพราะว่าเขามาจากดาวดวงอื่นหรือเขามีพลังเหนือธรรมชาติ แต่ ความดีพร้อมแบบอุดมคติของเขานี่เองเป็นดาบสองคม ที่ทำให้ตัวละครอย่าง Superman ขาดโอกาสที่จะแสดงอารมณ์ความรู้สึกในด้านอื่นๆเหมือนคนทั่วๆไป

    แต่หากจะใส่ด้านมืดเข้าไป ให้เหมือนกับ Batman หรือ ซูเปอร์ฮีโร่คนอื่นๆ ก็เชื่อว่า มันจะไปทำลายภาพอุดมคติของตัวละครอย่างเขา ดังนั้นสิ่งที่ Bryan Singer สร้างมิติให้ตัวละครในภาคนี้ นอกจาก ความรู้สึกจากการสูญเสียแล้ว เขายังทำให้เราได้เห็นภาพ Superman ที่ต้องได้รับความช่วยเหลือจาก Lois Lane ,ภาพของ Superman ต้องเข้าโรงพยาบาล มันแสดงให้เห็นว่า ในความเป็นซูเปอร์ฮีโร่อุดมคติของเขา เสี้ยวหนึ่งเขาก็มีความเป็นคนเหมือนกับเราๆ(แม้เข็มจะแทงไม่เข้าก็ตาม) และ การที่เราได้เห็นน้ำตาของเขาในฉากสำคัญตอนท้าย มันเป็นการเพิ่มมิติทางอารมณ์ให้มีความลึกซึ้งมากขึ้นและหลากหลายมากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน

    Superman returns ... เริ่มต้นถูกสร้างด้วยเค้าลางที่ดี เพราะหนังมาพร้อมกับชื่อผู้กำกับที่ขายได้ทั้งคุณภาพและความบันเทิงอย่าง Bryan Singer บวกกับ เรื่องราวถูกเขียนขึ้นมาใหม่ได้อย่างน่าสนใจ มีซับพล็อตอยู่ในคำถามที่ทำให้เราอยากรู้ตั้งแต่เห็นหนังตัวอย่างไม่ว่าจะเป็น เขาหายไปไหน 5 ปี ? ลูกของ Lois Lane เป็น ลูกของเธอจริงหรือไม่ ถ้าจริง ใครเป็นพ่อ ?

    ทุกองค์ประกอบที่มีส่วนในหนังอยู่ในระดับที่เรียกว่ายอดเยี่ยม ไล่ไปตั้งแต่ ดนตรีประกอบที่เรียกความรู้สึกเก่าๆกลับมาได้อย่างร่วมสมัยไม่เชย , งานสร้างที่ยิ่งใหญ่น่าทึ่ง เทคนิคที่เนียนตาสมจริง , การกำกับภาพที่น่าตื่นตาเรียกอารมณ์คนดูได้ดั่งใจทุกฉาก ไม่ว่าจะฉากแอคชั่น , ฉากเศร้า (ฉาก Superman แอบสังเกตอยู่นอกบ้าน) หรือ ฉากซึ้ง (ฉากประคองขึ้นฟ้าดูโรแมนติคชวนฝันมาก)

    และส่วนที่เป็นงานหนักแต่ก็ทำหน้าที่ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆ คือ ฝ่าย Casting ทุกคาแรกเตอร์ในหนังดูจะเข้ากับนักแสดงทุกคนเป็นอย่างดี และ นักแสดงแต่ละตำแหน่งก็รับผิดชอบบทตัวเองให้ดูน่าสนใจไม่ถูกกลืนหายไปกับความยิ่งใหญ่ของ Superman ไม่ว่าจะเป็น บทเล็กๆอย่าง บท kitty ของ Parker Posey ที่เป็นประเภทคู่หูตัวร้ายในสไตล์ถอดแบบมาจากการ์ตูนเต็มที่ เธอเด่นแบบไม่ถึงกับขโมยซีนมากไป แม้จะร้องวีดว้ายอยู่เรื่อยๆ ก็ยังมีความน่ารักน่าชังและน่าสงสารอยู่ในตัว(ผมชอบทุกฉากที่เธอปล่อยมุกและฉากแสดงท่าทีออดอ้อนพี่ซุปเหลือเกิน) เป็นบทเล็กๆที่ดีอย่างน่าเซอร์ไพรส์ , James Marsden ที่ลงทุนถอดแว่นสุดเท่จาก X –men มารับบท Richard White ชายหนุ่มคนดีที่น่าสงสารก็เล่นได้ดี แม้แต่บท Jason ลูกของ Lois Lane ก็ดูดีมีรัศมีทุกครั้งบนจอโดยเฉพาะฉากผลักเปียโน


    งานหนักที่สุดของทีม Casting คือ การคัดเลือกคนมารับบท 3 คาแรกเตอร์หลัก(Superman , Lois Lane , Lex Luthor ) ที่มีภาพลักษณ์ของนักแสดงคนเก่าแข็งแรง จนยากที่คนดูจะลบภาพพวกเขาออกไปได้

    ...คงไม่ใช่เรื่องเกินเลยหากจะบอกว่า เมื่อไรก็ตามที่เอ่ยชื่อ Superman แทบทุกคนที่เคยดูหนังย่อมมีภาพของ Christopher Reeve ผุดขึ้นมาแบบไม่ต้องคิด ผู้ชายที่เรียกได้ว่าเป็น Superman ทั้งในจอและนอกจอ เดิมเขาจะได้รับเชิญให้มามีบทเล็กๆในเรื่องนี้แต่การจากไปของเขาก่อนจะสร้างหนัง ทำให้ผู้กำกับเปลี่ยนเป็นการอุทิศหนังเรื่องนี้ให้กับเขาแทน

    ดังนั้นงานหินของ Brandon Routh หลังจากเอาชนะนักแสดงหลายคนที่เคยมีชื่อพัวพันในบทนี้ไม่ว่าจะเป็น Josh Hartnett , Paul Walker, Brendan Fraser, Ashton Kutcher James Caviezel ฯลฯ คือ จะทำอย่างไรที่เขาจะลบภาพ Christopher Reeve ออกไปจากความคิดคนดูเดิมๆ และเป็น Superman คนใหม่ได้อย่างเป็นตัวของตัวเอง

    ดูจากรายชื่อผู้กำกับที่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการ Superman เชื่อได้ว่าหาก Brandon Routh เข้าไปอยู่ในหนัง Superman ของ Tim Burton ที่ต้องมีด้านมืด หรือ หนัง Superman ของ Michael Bay ที่ต้องบินสโลว์โมชั่นพลิ้วผ่านระเบิดนาปาล์ม หรือ หนัง Superman ลีลาจัดจ้านประกอบเพลงจาก MTV ของ McG ก็อาจไม่ประสบความสำเร็จเท่าเมื่อเขาเดินเข้ามาในหนัง Superman ของ Bryan Singer ที่ต้องการ Superman ที่ อ่อนวัย+อ่อนไหว และ ดูเป็นคนมีเลือดเนื้อจิตใจมากกว่าเป็นฮีโร่หนังแอคชั่น

    บุคลิกของ Brandon Routh เข้ากับธีมของหนังภาคนี้อย่างพอดิบพอดี เขาทำให้แฟน Superman รุ่นเก่าๆที่เคยยึดติด Christopher Reeve สามารถยอมรับ Superman คนใหม่ได้อย่างไม่มีข้อขัดใจ และทำให้แฟนใหม่ๆจดจำเขาได้อย่างแม่นยำ บวกกับการแสดงที่หยอดเสน่ห์ด้วยความหวานผ่านสายตาและรอยยิ้มตลอดเวลาเมื่อมีโอกาส ยิ่งทำให้เขามีโอกาสยึดครองบทนี้ไปอีกนาน หากจะมีข้อด้อยอยู่บ้างก็ตรงรู้สึกว่า เขาแสดงให้เห็นความแตกต่างของ หนุ่มเฉิ่มเชยชื่อ Clark Kent กับ หนุ่มฮีโร่สุดเท่ร่วมสมัยชื่อ Superman ได้น้อยกว่าสมัย Christopher Reeve แสดงไว้ซึ่งสองบุคลิกนี้ดูต่างกันชัดเจน

    ...Lois Lane คนใหม่ที่ได้ Kate Bosworth มารับบทนี้ ดูจะแตกต่างจากคนเก่าที่รับบทโดย Margot Kidder พอสมควร แต่เธอก็ดูไม่มีปัญหาในการทำให้คนดูเชื่อถือและตกหลุมรัก เพราะแค่ความน่ารักสดใสของเธอทำให้เธอสอบผ่านได้อย่างสบายๆ

    ...Kevin Spacey ในบท Lex Luthor ทำได้ดีไม่แพ้คนเก่าที่รับบทโดย Gene Hackman ส่วนตัวแล้วออกจะชอบ Lex Luthor ของ Kevin Spacey มากกว่าด้วยซ้ำ กับ บุคลิกชายโรคจิตขี้เล่นอารมณ์ดี พอบทจะเหี้ยมก็ดูโหดเลือดเย็น เช่น ในฉากตอนจะฆ่า Superman ด้วยฝีมือการแสดงของเขาทำให้ตัวละครนี้ดูโดดเด่นขึ้นมา น่าเสียดายที่ตัวบทที่เขียนขึ้นมา ใช้ความสามารถการแสดงเขาได้ไม่เต็มศักยภาพ บทของเขาดูหลวมๆมีอะไรให้เขาเล่นน้อยเกินไป และ มันก็ส่งผลให้เกิดจุดอ่อนที่ผมเสียดายอีกจุดหนึ่งตามมา นั่นคือ ทำให้ฉากแอคชั่นช่วงท้ายเป็นไคลแมกซ์ของคู่ปรับคู่นี้ดูนุ่มนิ่มเกินไป

    ...Bryan Singer จัดการลดทอนความเป็นหนังแอคชั่นลงน้อยกว่าทั้ง 4 ภาคที่ผ่านมา และเพิ่มสัดส่วนความเป็นหนังดราม่าให้ภาคนี้มากกว่าทุกๆภาคที่ผ่านมาเช่นกัน และด้วยเหตุผลที่ภาคใหม่นี้อยากจะเน้นฉากชีวิตเป็นหนังรัก-ดราม่าให้มากขึ้น ก็ส่งผลให้หนังมีฉากแอคชั่นดีๆมันๆน้อยเกินไป

    จริงอยู่ว่ามันไม่จำเป็นต้องแอคชั่นถล่มทลายแบบ X-men แต่อย่าลืมว่า Superman คือ หนังซูเปอร์ฮีโร่ และ โจทย์หนึ่งของหนังซูเปอร์ฮีโร่ ที่ต้องมีตามมาโดยอัตโนมัติ คือการสร้างฉากแอคชั่นสนุกตื่นเต้นให้กับคนดู ดูอย่างการเปิดตำนานบทใหม่ของมนุษย์ค้าวคาวใน Batman Begins ที่ตัวหนังก็จงใจเน้นความเป็นดราม่าเหมือนกัน ครึ่งแรกของหนังนั้นเราจะเห็นว่าดราม่าจ๋าๆจนนึกว่าเป็นสารคดีชีวิตของบรูซ เวย์น แต่พอเข้าครี่งหลังหนังก็ประเคนฉากแอคชั่นมาให้เต็มอิ่ม โดยที่หนังก็ยังไม่เสียความเป็นตัวของตัวเอง

    ขนาดผมเองที่เป็นแฟนพี่ซุปอยู่แล้วบวกกับตอนดูในโรง Imax 3D ที่ต้องถอดแว่นตาสามมิติเข้า-ออกเป็นช่วงๆ ยังรู้สึกง่วงเป็นบางช่วง แต่เป็นเพราะเสน่ห์และมนต์ขลังของ Superman ที่ตัวเองชื่นชอบ ไม่ว่าหนังจะเนือยเพียงใดมันก็ไม่สามารถจะทำให้ผมละสายตาไปจากจอได้ จะเป็นห่วงก็ตรง แฟนกลุ่มใหม่ๆที่ไม่มีชื่อ Superman อยู่ในสารบบมาก่อน บางคนอาจจะเบื่อและงีบหลับกลางคัน

    งานกำกับของ Bryan Singer บวกกับตัวบทภาพยนตร์ ทำให้ Superman returns เป็นการเคารพต้นฉบับที่ฉลาดมากในการดัดแปลงให้มีรอยต่อบางส่วนจาก ภาค 2 และบางฉากก็เป็นการดัดแปลงกึ่ง remake เช่น ฉากการกลับมาของ Superman ที่ตกลงกลางไร่พร้อมอุกกาบาตในหนังหลังการหายไป 5 ปี ดูไม่ต่างจากฉากถือกำเนิดในตอนแรกเกิดบนโลกของเขาตอนวัยทารก , ฉากพา Lois Lane ขึ้นไปบนฟากฟ้าก็ให้ความรู้สึกเหมือนได้ดูฉากเก่าๆเอามาฉายใหม่ หรือ ประโยคบางประโยคเช่น ประโยคที่บอกผู้โดยสารหลังพาเครื่องบินลงจอดอย่างปลอดภัยก็เป็นประโยคเดียวที่เขาเคยพูดในภาคแรกหลังจากช่วย Lois Lane ฯลฯ

    หนังดำเนินย้อนความเก่าๆไม่นานนักแต่ก็มากพอที่จะทำให้คนดูรุ่นใหม่รู้ที่มาที่ไป และก็ทำให้แฟนเก่าๆได้หวนรำลึกความหลังแบบไม่รู้สึกเบื่อ มีการปรับเนื้อหาและแผนการของฝ่ายร้ายได้ร่วมสมัยไม่ต้องพึ่งระเบิดนิวเคลียร์เหมือนในอดีต จากผลงานที่ออกมาชิ้นนี้ ทำให้เราสามารถจะฝากความคาดหวังไว้กับภาคต่อไปได้อย่างเต็มหัวใจ

    สำหรับผม Superman เป็นมากกว่าหนังซูเปอร์ฮีโร่ Superman ภาคแรกคือหนังเรื่องแรกในชีวิตของผมที่พ่อเล่าให้ฟังว่าพาไปดูในโรงหนัง ดังนั้น Superman จึงเป็นมากกว่าหนังเรื่องหนึ่ง และ เรื่องนี้ก็เป็นหนังที่รอคอยอยากดูมากที่สุดของปีนี้เช่นกัน การได้ดู Superman returns มันเหมือนกับ การได้หวนคืนกลับไปหาอดีต(nostalgia) เป็นการปลุกวัยเด็กที่ยังมีชีวิตให้ได้กลับมากระโดดโลดเต้นดีใจอีกครั้ง

    ตั้งแต่ฉากแรกของการเปิดตัว Superman ที่ Lois Laneเหลือบไปเห็นเขาบินผ่านมาเป็นจุดเล็กๆทางหน้าต่างเครื่องบิน ก่อนที่จะไปสิ้นสุดที่สนามเบสบอลพร้อมเสียงปรบมือก้องกังวานต้อนรับการกลับมาของ Superman ฉากนี้เป็น ฉากเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ยอดเยี่ยม และ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งในสนามเบสบอลนั้นที่ปรบมือให้กับการกลับมาของเขา พร้อมกับอยากจะตะโกนบอกเขาว่า เราทุกคนในโลกใบนี้ยังต้องการ Superman


    สิ่งที่ชอบ

    1.ธีมและอารมณ์ … ประทับใจ ความนุ่มนวล อ่อนโยน อบอุ่น ของหนังภาคนี้เป็นอย่างมาก

    2. Superman … แค่ได้เห็นเขากลับมาบินขึ้นฟ้าอีกครั้ง แค่นี้ก็อิ่มใจแล้ว

    3.สามมิติ … พอดีได้มีโอกาสไปดู IMAX 3D ประทับใจเหลือหลายตอนพี่ซุปบินตรงเข้ามา หรือ ลอยบนฟ้า โอ้ Superman ที่เคยดูตอนเด็กๆมีตัวตนจับต้องได้มากกว่าเดิม

    4.นักแสดงทั้งทีม ... ที่ชอบแบบเหนือความคาดหมายคือบทเล็กๆของ Parker Posey

    5.ฉากเปิดตัว Superman ไล่ตั้งแต่จุดเล็กๆทางหน้าต่างไปสิ้นสุดที่สนามเบสบอล , ฉากประคอง Lois Lane ขึ้นฟ้า , ฉากจบ .... อาจฟังดูเว่อร์ไปนิด แต่ความจริงที่เกิดขึ้นคือ สามฉากนี้ทำผมใจเต้นตีกตัก หัวใจพองโต น้ำตาปริ่มๆด้วยความรู้สึกอิ่มเอม

    6.บทภาพยนตร์โดย Michael Dougherty + Dan Harris และ การกำกับของ Bryan Singer... น่าชื่นชม เมื่อพิจารณาในแง่บทหนังเรื่องหนึ่งซึ่งเขียนขึ้นมาเพื่อเคารพต้นฉบับ นี่เป็นบทที่แสดงถึงคนที่รัก Superman อย่างแท้จริง หลายฉากคล้ายๆกับการดัดแปลงกึ่ง Remake เป็นการชวนให้คนดูหวนรำลึกถึงอดีต ในขณะที่ตัวหนังก็เล่าเรื่องใหม่สวมรอยต่อภาคเก่าได้อย่างชาญฉลาด

    อีกทั้ง ตัวบทหนังภาพรวมเองก็ยังทำให้หนัง Superman มีความซับซ้อนมากขึ้นไปกว่า หนังซูเปอร์ฮีโร่ปราบเหล่าร้าย และ การใส่มิติทางอารมณ์ให้กับ Superman ก็เป็นอีกจุดที่ทำให้ Superman คนใหม่มีเสน่ห์แตกต่างออกไป


    สิ่งที่ไม่ชอบ

    1.บท Lex Luthor … ตัวนักแสดงเล่นได้ดีแล้ว แต่ดูบทให้ความสำคัญกับตัวละครนี้น้อยเกินไป ตอนแรกก็ดูน่าสนใจกับไอเดียการหวังยึดครองโลกที่เอาคริปโตไนท์สอดไส้ผลึกคริสตัลมาหย่อนใส่มหาสมุทร แต่บทของเขาช่วงกลางๆท้ายก็ดูเงียบเหงาไป นอกจากฉากแทงพี่ซุปฉากนั้นแล้ว ส่วนที่เหลือของหนังบท Lex Luthor ไม่สมกับการเป็นคู่ปรับอันดับ 1 ของพี่ซุป และ ถูกกลืนหายไปจากหนังในช่วงสุดท้ายของเรื่อง

    2.ฉากแอคชั่น ... แม้ไม่คาดหวังและเข้าใจว่านี่ไม่ใช่หนังแอคชั่นซูเปอร์ฮีโร่ ก็ยังรู้สึกว่า มันน้อยไปอยู่ดี พอช่วงท้ายก็นึกว่าจะมีฉากแอคชั่นในช่วงไคลแมกซ์แบบลุ้นไม่ให้หายใจ แต่สุดท้ายแล้ว ก็ไม่มี มันทำให้รู้สึกโหวงๆไปหน่อย

    สรุป ...ห ากคุณไม่เคยดูหรือรู้จักหนัง Superman มาก่อนเลย หรือ คุณคาดหวังหนังแอคชั่นมันๆ มีแนวโน้มแบ่งเป็นสองฝ่ายระหว่างประทับใจ กับ ง่วงเบื่อ ควรเตรียมใจเผื่อไว้ก่อนว่านี่คือหนังดราม่าของซูเปอร์ฮีโร่ แต่ สำหรับแฟนๆที่เคยมีหนัง Superman ของ Christopher Reeve เก็บไว้ในร่องหลืบของความทรงจำ Superman returns เป็นหนังที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง เพราะเชื่อว่าแค่คุณได้ยินดนตรีประกอบเปิดตัวที่คุ้นหูและเห็นเขาบินตรงมา เพียงเท่านี้ มันก็ทำให้วัยเด็กที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวได้กลับมาตื่นเต้นอย่างมีความสุขอีกครั้ง (สำหรับกลุ่มคนรักพี่ซุป เชียร์ขาดใจให้เลือกดูที่โรง IMAX ในระบบ 3 มิติ)

    สำหรับตัวเองแล้วนี่เป็นหนังเรื่องที่ 2 ของปีนี้ ที่ผมบรรจุเข้าไปเป็น 1 ใน 10 หนังที่ผมชอบที่สุดของปีได้อย่างไม่ลังเลใจ ข้อบกพร่องหรือจุดอ่อนทั้งหลายสามารถถูกลืมไปได้เพียงเพราะเหตุผลเดียวกับในหนังที่ Lois Lane ตอบคู่หมั้นว่า "ก็เพราะเขาเป็น Superman แน่นอน ใครๆก็รัก Superman"

มีทั้งหมด 88 วิจารณ์ หน้าที่ 4 [ก่อนหน้า] 1 2 3 4 5 6 7 8 9 [ถัดไป]
เขียนวิจารณ์
จะต้องลงชื่อเข้าใช้ระบบก่อน จึงจะเขียนวิจารณ์ได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google+ หรือ Facebook ก็ได้
Facebook | Google+

advertisement

วันนี้ในอดีต

  • รักแห่งสยามรักแห่งสยามเข้าฉายปี 2007 แสดง มาริโอ้ เมาเร่อ, วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล, กัญญา รัตนเพชร์
  • Harry Potter and the Chamber of SecretsHarry Potter and the Chamber of Secretsเข้าฉายปี 2002 แสดง Daniel Radcliffe , Emma Watson , Rupert Grint
  • ตีสาม 3Dตีสาม 3Dเข้าฉายปี 2012 แสดง กาญจน์เกล้า ด้วยเศียรเกล้า, โทนี่ รากแก่น, ชาคริต แย้มนาม

เกร็ดภาพยนตร์

  • Badlapur - เป็นภาพยนตร์ที่ไม่ใช่แนวตลกเรื่องแรกที่ วรุณ ธาวาน ผู้รับบท รักฮาฟ แสดง อ่านต่อ»
  • Chappie - ชาร์ลโต คอปลีย์ ผู้รับบท แชปปี้ กับผู้กำกับ นีลล์ บลอมแคมป์ เรียนโรงเรียนเดียวกันสมัยมัธยมศึกษา ทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกัน ชาร์ลโต จึงร่วมแสดงในภาพยนตร์ทุกเรื่องที่ นีลล์ กำกับก่อนหน้านี้ ได้แก่ District 9 (2009) และ Elysium (2013) อ่านต่อ»

เปิดกรุภาพยนตร์

Pati Patni Aur Woh Pati Patni Aur Woh ชีวิตของชายวัยกลางคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่พบว่าตัวเองกำลังอยู่ในภาวะที่ต้องเลือกระหว่างภรรยาของตัวเองกับผู้หญิงอีกคน...อ่านต่อ»