เกร็ดน่ารู้จาก Sin City
เกร็ดน่ารู้
- จากผลงานการ์ตูนยอดนิยมจาก Dark Hourse Comics โดยนักเขียนการ์ตูน แฟรงค์ มิลเลอร์ เจ้าของรางวัล นักเขียนการ์ตูนยอดเยี่ยมปี 1992 มาสู่ผลงานภาพยนตร์ Sin City ที่สร้างจากผลงานการ์ตูนยอดนิยม 3 ตอนคือ Sin City: The Hard Goodbye, Sin City: The Big Fat Kill และ Sin City: That Yellow Bastard ที่ถูกสอดประสานเรื่องราวให้กลายเป็นเนื้อเดียวกันจากฝีมือกำกับของ โรเบิร์ต ร็อดริเกวซ ผู้กำกับ Spy Kids ทั้ง 3 ภาค และ Desperado ร่วมด้วย แฟรงค์ มิลเลอร์ เจ้าของบทประพันธ์
- ประสบการณ์ที่เลวร้ายในฮอลลีวู้ดเมื่อช่วงต้นยุค 90 ทำให้ แฟรงค์ มิลเลอร์ ไม่ต้องการให้การ์ตูนของเขา ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Sin City
- โรเบิร์ต ร็อดริเกวซ ซึ่งเป็นแฟนการ์ตูนเรื่องนี้มานาน ได้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างลับๆ ในช่วงต้นปี 2004 แสดงโดย จอช ฮาร์ตเน็ตต์ และ มาร์ลีย์ เชลตัน ในภาพยนตร์สั้นๆ ที่มีชื่อว่า The Customer is Always Right จากการ์ตูนตอน Babe Wore Red จากนั้น เขาได้นำไปให้ แฟรงค์ มิลเลอร์ ดู พร้อมกับบอกว่า "ถ้าคุณชอบ เรื่องนี้จะถูกนำไปใช้ฉากเปิดของภาพยนตร์ แต่ถ้าคุณไม่ชอบ คุณก็ได้ภาพยนตร์สั้นอีกเรื่องหนึ่งเอาไว้อวดเพื่อน" ผลปรากฏว่า มิลเลอร์ ชอบ และการถ่ายทำภาพยนตร์ได้เริ่มต้นขึ้น
- หน้าปกของหนังสือ Sin City ตอน Booze, Broads, and Bullets มีให้เห็นในภาพยนตร์เป็นระยะๆ และที่เห็นได้ชัดที่สุด คือ ขณะที่ จอห์น ฮาร์ติกัน ตามหา แนนซี่ คัลลาฮาน โดยเห็นเป็นฉากหลังของคลับเปลื้องผ้า เป็นรูปโปสเตอร์อยู่ทางขวา ใกล้ๆ กับฉากปรากฏตัวครั้งแรกของ ฮาร์ติกัน
- สามารถเห็นผู้กำกับ โรเบิร์ต ร็อดริเกวซ สวมหมวกเอกลักษณ์คาวบอยสีขาว ในฉากที่ ฮาร์ติกัน ตามหา แนนซี่ ในเคดี้บาร์
- โลโก้ของเคดี้บาร์เป็นตัวเดียวกับปกการ์ตูนตอน Booze, Broads, & Bullets ซึ่งอ่านว่า Kadie's - Booze & Broads เหมือนกัน
- ดาบที่ เดวอน เอโอกิ ใช้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นดาบซามูไร ฮัตโตริ ฮันโซ ที่ อูม่า เธอร์แมน เคยใช้ในเรื่อง Kill Bill ปี 2003
- เควนติน ทาแรนทิโน่ ผู้กำกับรับเชิญของภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้ร่วมแสดงในฉากจบของ That Yellow Bastard เป็นฉากในบาร์ ซึ่งเขานั่งถัดจาก มาร์ฟ และกำลังมอง แนนซี่ เต้นอยู่
- เควนติน ทาแรนทิโน่ ผู้กำกับรับเชิญของภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยเขาได้กำกับฉากจาก Big Fat Killed ตอนที่ ดไวท์ และ แจ็คกี้ บอย ขับรถฝ่าฝน โดยที่ ดไวท์ เชื่อว่า แจ็คกี้ บอย ที่ตายไปแล้วกำลังพูดกับเขา ทาแรนทิโนได้รับสิทธิ์เต็มที่ ร็อดริเกซ บอกว่า "เราต้องการสัญลักษณ์ของความเป็นเควนตินในฉากนั้น ผมรู้ว่าเขาจะนำเสนอสิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจน และเขาเตรียมตัวมาพร้อม"
- มาร์ลีย์ เชลตัน เคยแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Pleasantville ของผู้กำกับ แกรี่ รอสส์ ในปี 1998 ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ใช้เทคนิคพิเศษเดียวกัน เพื่อแสดงทุกสิ่งในภาพยนตร์เป็นสีขาวดำ และเน้นสีเฉพาะบางคน บางสิ่ง หรือบางฉากเท่านั้น
- โรเบิร์ต ร็อดริเกวซ เดิมนึกถึง จอห์นนี่ เดปป์ ในบทของ แจ็คกี้ บอย แต่เนื่องจากติดงานทำให้ เดปป์ไม่สามารถมารับบทดังกล่าวได้ เมื่อ ร็อดริเกวซ ได้เห็น เบนิซิโอ เดล โทโร่ ไว้ผมยาว ในงานมอบรางวัลออสการ์ ซึ่ง ร็อดริเกซ ได้บรรยายว่าเป็นทรงมนุษย์หมาป่า และบอกว่า "ผมกำลังเห็น แจ็คกี้ บอย" จากนั้น ร็อดริเกวซ ก็บอกกับ เดล โทโร่ ว่าอย่าตัดผม พร้อมกับส่งหนังสือการ์ตูน และบท The Customer is Always Right ซึ่ง เดล โทโร่ ตกลงทันที
- ผู้กำกับ ร็อดริเกวซ และ มิลเลอร์ ได้วางแผนแต่ละฉากในภาพยนตร์ โดยใช้ช่องของการ์ตูนแทนสตอรี่บอร์ด
- เจสสิก้า อัลบา ต้องการครูมาฝึกสอนการเต้น แต่ผู้กำกับยืนยันว่าเธอจะต้องรู้สึกไปกับเพลงและเต้นมันออกมาเอง
- เจสสิก้า อัลบา ได้ไปดูคลับเปลื้องผ้า เพื่อทำการค้นคว้าเกี่ยวกับตัวละครของเธอ อย่างไรก็ตาม เธอกล่าวว่าไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เพราะเหล่านักระบำเปลื้องผ้ามักจะเต้นเพียงเพื่อให้ได้ทิป
- เจสสิก้า อัลบา ไม่รู้เลยว่าตัวละคร แนนซี่ จะมีภาพลักษณ์เผ็ดร้อนแค่ไหน จนกระทั่งเซ็นต์สัญญาแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้
- ผู้กำกับ โรเบิร์ต ร็อดริเกวซ เพิ่มเพลงให้อัลบาเต้นอีกในเวลาต่อมา ทำให้เธอต้องฟังเพลงหลากหลายในขณะแสดงอยู่หน้าฉากสีน้ำเงิน
- คริสโตเฟอร์ วอลเคน, วิลเลียม เดโฟ, สตีฟ บุสเซมิ และ ไมเคิล ดักลาส เคยถูกเสนอให้มารับบทบาทในเรื่องนี้
- รถและปืนที่ใช้ในภาพยนตร์ เป็นของจริง ไม่ใช่คอมพิวเตอร์กราฟฟิก
- อาวุธปืนพกกึ่งอัตโนมัติทั้งหมดที่นักแสดงใช้ มีตราประทับของ Springfield Armory
- หนึ่งในปืนที่ ฮาร์ติกัน ใช้ คือ ปืนเบเรตต้า เอ็ม93อาร์ ออโต้ 9 ที่เคยใช้โดย โรโบคอป ในภาพยนตร์เรื่อง RoboCop ซึ่ง แฟรงค์ มิลเลอร์ เป็นผู้เขียนบท โรโบคอป 2 ในปี 1990 และ โรโบคอป 3 ในปี 1993
- เลือดสีขาวเป็นสิ่งที่ทำได้ยากในภาพยนตร์ เลือดที่ใช้ในภาพยนตร์ทั่วๆ ไปไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ทีมงานจึงต้องใช้ของเหลวฟลูออเรสเซ้นท์สีแดงจุ่มลงในแบล็กไลต์ ขั้นตอนหลังการถ่ายทำภาพยนตร์ (Post-Production) ได้ทำให้ของเหลวดังกล่าวเป็นสีขาว
- หนึ่งในหญิงโสเภณีที่เมืองโอลด์ทาวน์แต่งตัวเหมือน วันเดอร์ วูแมน เธอถูกเห็นอยู่ทางด้านหลัง ใส่ชุดกางเกงขาสั้นลายดาว กับเชือกบ่วงบาศสีทอง ตัวละครนี้มีอยู่ในการ์ตูนในฉากที่เกือบจะเหมือนกันนี้ด้วย
- เมื่อ จอห์น ฮาร็ติกัน ที่แสดงโดย บรู๊ซ วิลลิส เข้ามาในเคดี้บาร์ เชลลี่ ที่แสดงโดย บริตทานี เมอร์ฟี่ กำลังถือขวดเบียร์ยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งเป็นยี่ห้อเดียวกับที่ใช้ในภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของ โรเบิร์ต ร็อดริเกวซ รวมทั้ง Desperado ปี 1995 และ From Dusk Till Dawn ปี 1996
- แม้รู้ว่าจะต้องมีการตัดภาพยนตร์ออกไปบางส่วนเพื่อรักษาเวลา โรเบิร์ต ร็อดริเกวซ และ แฟรงค์ มิลเลอร์ ก็ยังคงถ่ายทำ The Hard Goodbye, The Big Fat Kill และ That Yellow Bastard ทั้งหมดตามแหล่งข้อมูล เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือ โดยวางแผนไว้ว่าจะนำไปเพิ่มเติมในฉบับดีวีดี
- โรเบิร์ต ร็อดริเกวซ กล่าวว่าเขาไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ดัดแปลง แต่เป็นการแปลความมากกว่า นั่นคือเหตุผลว่าทำไมจึงไม่มีการให้เครดิตสำหรับผู้เขียนบท สิ่งเดียวที่มีกล่าวถึงคือ แฟรงค์ มิลเลอร์ ในฐานะผู้เขียนการ์ตูน
- ขั้นตอนการทำงานของภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นการทำเทคนิคพิเศษหรือการทำดนตรีประกอบ ได้ทำขึ้นที่สตูดิโอของ ร็อดริเกวซ เอง ซึ่งแค่ข้ามถนนจากบ้านของเขาก็ถึงแล้ว
- ร็อดริเกวซ ปฏิเสธที่จะทำงานในที่อื่นๆ นอกเหนือจากสตูดิโอของตัวเอง และเพื่อหลีกเลี่ยงการทำงานในแบบฮอลลีวูด เขาจึงไปร่วมงานกับ บ๊อบ และ ฮาร์วีย์ ไวน์สตีน ผู้บริหารของมิราแมกซ์ เพื่อให้การสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นไปได้ โดยไม่มีสตูดิโออื่นเข้ามายุ่งกับการทำงานของ ร็อดริเกวซ หรือภาพยนตร์เรื่องนี้อีก
- ขณะที่ แจ็คกี้ บอย และพวกของเขาเข้าไปในอพาร์ตเม้นต์ของ เชลลี่ หนึ่งในคนเหล่านั้นได้ใส่เสื้อทีเชิ้ตที่มีสัญลักษณ์ดาวและธงชาติที่บ่งบอกถึงสันติภาพ ซึ่งสัญลักษณ์ดังกล่าวนี้ก็ปรากฏเป็นต่างหูของ เบ็กกี้ ซึ่งรับบทโดย อเล็กซิส บลีเดล โดยสัญลักษณ์นี้เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพทางทหาร มีที่มาจากนิยายเรื่อง มาร์ธา วอชิงตัน ของ แฟรงค์ มิลเลอร์ ที่เริ่มต้นด้วย "จงให้เสรีภาพแก่ฉัน"
- ร็อดริเกวซ ซึ่งยกย่องมุมมองของ แฟรงค์ มิลเลอร์ ที่มีต่อการ์ตูน มากเท่าๆ กับมุมมองของเขาที่มีต่อภาพยนตร์ เขาจึงยืนกรานที่จะให้ มิลเลอร์ ได้รับตำแหน่งผู้กำกับภาพยนตร์ร่วม แต่สมาคมผู้กำกับแห่งอเมริกาไม่อนุญาต ดังนั้น ร็อดริเกวซ จึงลาออกจากสมาคม พร้อมกับกล่าวว่า "เป็นเรื่องที่ง่ายกว่าที่จะลาออกอย่างเงียบๆ ก่อนการถ่ายทำภาพยนตร์ มิฉะนั้น ผมก็ต้องถูกบังคับให้ประนีประนอมโดยที่ผมไม่เต็มใจ ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่สมาคมในเวลาต่อมา"
- การลาออกจากสมาคมผู้กำกับแห่งอเมริกา ทำให้ ร็อดริเกวซ ถูกบังคับให้สละตำแหน่งผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง John Carter of Mars ซึ่งขณะนั้นยังใช้ชื่อว่า A Princess of Mars และมีกำหนดฉายปี 2006 ทั้งๆ ที่ ร็อดริเกวซ ได้เซ็นต์สัญญา และได้มีการประกาศให้ ร็อดริเกวซ เป็นผู้กำกับเรื่องนี้แล้ว
- โรเบิร์ต ร็อดริเกวซ ทำดนตรีประกอบให้ภาพยนตร์เรื่อง Kill Bill: Vol. 2 ซึ่งออกฉายในปี 2004 ด้วยมูลค่า 1 เหรียญสหรัฐ ซึ่ง เควนติน ทาแรนทิโน่ กล่าวว่าเขาจะตอบแทนให้ด้วยการกำกับบางส่วนของภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยมูลค่า 1 เหรียญสหรัฐ เหมือนกัน โดย เควนติน ทาแรนทิโน่ ผู้ให้เสียงสนับสนุนการถ่ายทำภาพยนตร์ในแบบดิจิตอล กล่าวว่าเขาอยากลองถ่ายทำด้วยกล้องความละเอียดสูงแบบเดียวกับที่ ร็อดริเกวซ ชื่นชม
- ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง ที่ใช้วิธีการถ่ายทำแบบ ดิจิตอล แบ็กล็อต อาทิ แสดงทุกอย่างหน้าฉากสีเขียว และเพิ่มฉากหลังในขั้นตอนหลังการถ่ายทำภาพยนตร์ (Post-Production) ขณะที่เรื่อง Immortel (ad vitam) และ Casshern ซึ่งออกฉายในปี 2004 ได้ถ่ายทำบนฟิล์ม แต่เรื่องนี้จะใช้วิธีเดียวกับ Sky Captain and the World of Tomorrow ซึ่งออกฉายในปี 2004 โดยใช้กล้องดิจิตอลความละเอียดสูงในการถ่ายทำทั้งเรื่อง
- เดิมทีภาพยนตร์เรื่องนี้จะรวมการ์ตูนตอน To Hell And Back เอาไว้ด้วย แสดงนำโดย จอห์นนี่ เดปป์ ในบท วอลเลซ แต่ท้ายสุดแล้วเรื่องราวในการ์ตูนตอนนี้ก็ถูกแยกออกไปก่อนเริ่มการผลิต โดยวางแผนไว้ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในภาพยนตร์ภาคต่อแทน
- ได้มีการทาบทามให้ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ รับบท จูเนียร์ ในตอนแรก แต่หลังจากที่ได้รับการปฏิเสธ บทบาทดังกล่าวจึงเป็นของ นิก สตาห์ล
- เคต บอสเวิร์ธ เป็นตัวเลือกแรกสำหรับบทของ เกล
- หลังจากที่มีคนนำเบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งมีความยาว 27 วินาที ในฉาก บรู๊ซ วิลลิส และ เจสสิก้า อัลบา แสดงหน้าฉากสีเขียว ที่ออกอากาศในรายการโทรทัศน์รายการหนึ่ง เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2004 ไว้ในอินเตอร์เน็ต ปรากฏว่ามีคนดาวน์โหลดมากกว่าล้านครั้ง
- แม้ว่านักแสดงหลายคนจะดูคล้ายตัวละครอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีบางคน อาทิ บรู๊ซ วิลลิส, มิกกี โรร์ก, เบนิชิโอ เดล โทโร่ และ นิก สตาห์ล ที่ต้องแต่งหน้าและใส่อวัยวะเทียม เพื่อให้ดูเหมือนตัวละครที่ มิลเลอร์ วาดให้มากขึ้นอีก
- แม้ว่าโดยส่วนใหญ่ของภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นสีขาวและดำ เน้นสีกับเพียงแค่บางสิ่ง แต่บางอย่างก็ถูกทำให้มีสีฟ้าหรือเขียวตั้งแต่ขณะถ่ายทำเลย อาทิ นิก สตาห์ล ผู้รับบท The Yellow Bastard ต้องถูกทาให้เป็นสีน้ำเงินไม่ใช่สีเหลือง เพื่อให้สามารถแยกสีได้ง่าย เวลาถ่ายทำกับฉากสีเขียว
- แฟรงค์ มิลเลอร์ ผู้กำกับภาพยนตร์ร่วม และผู้สร้างสรรค์การ์ตูน ได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยในบทบาทหลวง
- แฟรงค์ มิลเลอร์ เริ่มงานกำกับภาพยนตร์ครั้งแรกกับเรื่องนี้ ที่ดัดแปลงจากหนังสือการ์ตูนชุดของ มิลเลอร์ เอง ซึ่งเขาก็มีแรงบันดาลใจจากความรักในฟิล์มนัวร์ และเรื่องราวนักสืบที่จะสรรค์สร้างภาพเมืองหม่นหมองที่มีการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม
- Sin City หนังสือเรื่องแรกที่มิลเลอร์เขียนคนเดียวได้รับรางวัลมากมาย รวมถึงรางวัลฮาร์วี่ย์ 2 รางวัลในสาขา Best Graphic of Original Work ปี 1998 และ Best Continuing Series ปี 1996 และรางวัล ไอส์เน่อร์ถึง 6 รางวัล
- เรื่องราวในภาพยนตร์นอกจากจะนำมาจากการ์ตูนตอน The Hard Goodbye, The Big Fat Kill, That Yellow Bastard และเรื่องสั้น The Customer is Always Right แล้ว ยังมีฉากสั้นๆ ที่นำมาจาก A Dame to Kill For ตอนที่ ดไวท์ (ไคลฟ์ โอเว่น) กล่าวถึง มาร์ฟ ขณะที่อยู่ในเคดี้บาร์ว่า "คงจะเหมาะกว่า ถ้าเขาเกิดในยุคสองสามพันปีก่อนหน้านี้"
- รถของ The Yellow Bastard (นิก สตาห์ล) ในการ์ตูน เป็นรถแอตแลนติก 57ซี บูกัตติ แต่ในภาพยนตร์ได้เปลี่ยนเป็นรถคาดิลแล็ก ลิโม ปี 1936 เพื่อประหยัดต้นทุนมูลค่ามากกว่า 230,000 เหรียญสหรัฐ ในการใช้รถบูกัตติสำหรับการถ่ายทำ 4 วัน
- ทะเบียนรถของ The Yellow Bastard คือ TYB 069 โดยคำว่า TYB ย่อมาจากคำว่า That Yellow Bastard นั่นเอง
advertisement
วันนี้ในอดีต
- รักแห่งสยามเข้าฉายปี 2007 แสดง มาริโอ้ เมาเร่อ, วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล, กัญญา รัตนเพชร์
- Harry Potter and the Chamber of Secretsเข้าฉายปี 2002 แสดง Daniel Radcliffe , Emma Watson , Rupert Grint
- ตีสาม 3Dเข้าฉายปี 2012 แสดง กาญจน์เกล้า ด้วยเศียรเกล้า, โทนี่ รากแก่น, ชาคริต แย้มนาม
เกร็ดภาพยนตร์
- Demonic - ประกาศสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยชื่อ House of Horror เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2011 โดย เจมส์ วาน รับหน้าที่อำนวยการสร้าง อ่านต่อ»
- Child 44 - เป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 4 ที่ ทอม ฮาร์ดี ผู้รับบท เลโอ และ แกรี โอลด์แมน นักแสดงบท มิกเฮล ปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่องเดียวกัน เรื่องก่อนหน้านี้คือ Tinker Tailor Soldier Spy (2011) Lawless (2012) และ The Dark Knight Rises (2013) อ่านต่อ»
เปิดกรุภาพยนตร์
Once Upon a Time... in Hollywood นักแสดงทีวีขาลง และ นักแสดงแทนของเขา สำหรับพยายามดิ้นรนอย่างหนักเพื่อสร้างชื่อเสียงและประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมภาพยนต...อ่านต่อ»