SIAMZONE.COM

ได้มีโอกาสฟังสัมภาษณ์ผู้กำกับว่า
เขาตั้งใจสร้างหนังเรื่องนี้ออกมา แทนที่จะรอให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นแล้วต้องมาสร้างเป็นสารคดีแทน
ทำให้หนังเรื่องนี้สร้างความประทับใจให้ผมตั้งแต่ก่อนเข้าชมแล้วละ

คนเราทุกวันนี้มักไม่ค่อยตระหนักถึงปัญหาใหญ่ที่มองไม่เห็น
เลยมัวเสียเวลาไปกลับปัญหา การฆ่าฟันกันเพราะความคิดที่แตกต่าง แย่งชิงผลประโยชน์ จนลืมคิดถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์ทำให้ธรรมชาติเสียสมดุลย์
ธรรมชาติสามารถปรับตัวเข้าหาสมดุลย์ได้อยู่แล้วตามกฎของธรรมชาติ
และธรรมชาติสามารถปรับเข้าสู่ภาวะสมดุลย์ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีมนุษย์อยู่เลยก็ได้

หนังเรื่องนี้ใส่เอฟเฟ็ก จำลองภาพที่เราไม่คิดว่าจะได้เห็นออกมามากมาย
ไม่ว่าจะเป็นลูกเห็บตกที่ญี่ปุ่น น้ำแข็งที่ขั้วโลกแตกแล้วเกิดรอยร้าว เป็นต้น และหนังก็ใส่ภาพเหตุการณ์ที่เข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆจน แทบจะมองไม่เห็นทางรอดของมนุษย์ ในยามถูกลงทัณฑ์จากธรรมชาติ

ความรักระหว่าง พ่อ-ลูก ที่ใส่เข้ามาสำหรับผมแล้วรู้สึกว่า ถึงจะมองว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ความเป็นดราม่าของหนังตรงส่วนนี้ ช่วยเพิ่มการช่วยลุ้นขึ้นมากเลยครับ และเป็นองค์ประกอบที่จะขาดไม่ได้เลยสำหรับหนังเรื่องนี้

หนังเรื่องนี้เอฟเฟ็กเป็นพระเอก นักแสดงเป็นตัวรอง
คงจะถูกใจบรรดาคอหนังหายนะทั้งหลาย หลังจากว่างเว้นจากหนังแนวนี้ไปเสียนาน
และหากหนังเรื่องนี้ทำให้ผู้ชมเกิดสำนึกที่มีต่อส่วนรวม และธรรมชาติ ก็จะยิ่งดียิ่งขึ้นไปอีก

A - นิดเดียวครับ

สำหรับผม ค่อนข้างผิดหวังครับ หนังไม่มีอะไรมากไปกว่าโชว์เอฟเฟค (ที่อลังการสมใจอยากจริงๆ) แต่เนื้อเรื่อง บท และ อารมณ์ของหนัง แทบไม่มีอะไรให้ประทับใจเลย ตัวละครทุกตัวไม่สามารถสร้างความผูกพันกับคนดู ให้มีส่วนร่วมไปกับอารมณ์ของพวกเขาได้ โดยเฉพาะพลอตในเรื่องความผูกพันระหว่าง พ่อกับลูก ที่แบนมากๆ ทั้งๆที่น่าจะสร้างความประทับใจถึงขั้นเรียกน้ำตาได้
ถ้าจะดูในแง่ของเอฟเฟค ก็พอจะเต็มอิ่มอยู่ครับ แต่ผมว่าฉากพายุถล่ม แอลเอ ดูไม่ค่อยมีพลังยังไงก็ไม่รู้ ผิดกับฉากที่น้ำทะเลพัดเข้าถล่มเกาะแมนฮัตตัน ที่ดูน่ากลัวและสมจริงมาก สรุปผมว่าถ้าหนังจะใส่ใจกับความสมจริงและรายละเอียดของบทให้มากกว่านี้ น่าจะทำให้คนดูประทับใจได้ดีนะครับ แต่เท่าที่ดูจนจบกลับรู้สึกเฉยๆอ่ะครับ เพราะบทหนังที่อ่อนปวกเปียกนี่แหละ ที่ทำให้คำสรุปของ ประธานาธิบดี ถึงภัยเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่ระมัดระวังในตอนท้ายเรื่องดูไม่มีน้ำหนักเอาซะเลย

ไม่ผิดหวังจริงๆที่ไปดูเรื่องนี้ เหมือนได้กำไรด้วยซ้ำจากการที่โรงหนังเปิดแอร์ด้วยอุณหภูมิที่สั่นสะท้านกันทั้งโรง(แบบว่าผมง...ก) เรื่องนี้ทำได้ยอดเยี่ยมมากในทางด้านแอฟเฟกต์ต่างๆทำออกมาได้สมจริงและสวยงามบางฉากเหมือนเข้าไปอยู่ในนั้นด้วย เช่น ตอนเปิดเรื่อง+น้ำท่วม เป็นต้น นักแสดงแต่ละคนแม้จะไม่ดังแต่ก็สะท้อนอารมณ์ของ''เหยื่อ''จากภัยธรรมชาติที่ไม่ธรรมดาครั้งนี้ได้เป็นอย่างดี นับเป็นหนังที่เสนอข้อคิดต่อการรักษาธรรมชาติได้เป็นอย่างดี ไม่เสียชื่อผู้กำกับID-4จิงๆ เอ...แต่เห็นโปสเตอร์มีแบบถล่ม Opera house ของซิดนีย์ในซีกโลกใต้ ซึ่งในหนังมีแค่ซีกโลกเหนือ อุบไว้ทำภาค 2 ไว้ถล่มซีกโลกใต้ป่าวนี่ -_-" .... แต่อย่าสนใจเลยเอาแบบสรุปว่าง่ายๆว่า ยกนิ้วโป่งให้ 4 นิ้วเลย เยี่ยมที่สุดในบรรดาDiaster film เท่าที่กระผมเคยดูมา : )

ได้ไปดูรอบแรกเลย ชอบมากๆๆ ภาพสวยมาก เอฟเฟ็กซ์ก็อลังการ ลุ้นตลอดเรื่อง นางเอกก็สวย พระเอกก็หล่อ กะว่าจะไปดูรอบ2 อีก ถ้าซีดีออกก็จะซื้อเก็บแน่นอน สุดยอด ชอบมาก

สนุกดี ไม่ต้องใช้ความคิดอะไรมาก ใช้จินตนาการแล้วดูภาพสวยๆในหนังก็พอ

สนุกมากๆๆๆๆๆเลยหนังเรื่องนี้ทำได้สมจริงมากๆๆๆอ่ะ แบบว่าดูแล้วไม่เสียดายเงินเลยรับรอง เป็นหนังฟอร์มยักษ์ที่ทำออกมาได้เยี่ยมมากๆจริงๆนะ ถ้าใครยังไม่ไปดูขอบอกให้รีบไปดูซะ ตั้งแต่ดูหนังมายังไม่มีเรื่องไหนถูกใจเท่าเรื่องนี้เลยนะ

...ลุ้นตลอดเรื่องเลย...สนุกมากกกกกกก

สนุกมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆอยากดูอีกค่ะ

สนุกมากๆ น่าขนลุกทุกฉากเลย ไม่อยากให้พลาดจริงๆ

เรื่องนี้ สำหรับผมแล้ว ผมว่าเนื้อเรื่อง และฉากเอฟเฟกต์ของมันน่าติดตามนะ เหมือนกับ Deep Impact ในฉากน้ำท่วมเมือง ไปดูมาแล้ว เรื่องนี้น่าสนุกพอๆกับ Deep Impact ผมมั่นใจมากเลยว่า ผู้กำกับหนังทำลายล้างอย่าง Roland Emmerrich น่าจะทำมาได้น่าติดตามมากกว่า Deep Impact นะ กับเรื่อง The Day After Tomorrow