วิจารณ์ โอเคเบตง

ไปที่หน้า
วิจารณ์ภาพยนตร์
  • เมื่อ 6 ม.ค. 47 18:40

    เป็นหนังที่น่าดูมากอีกเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ ดูแล้วรู้สึกดีมากๆๆๆๆๆเลย

  • เมื่อ 6 ม.ค. 47 14:26

    ก็ดีครับ ชอบบรรยากาศหนังที่ใสๆ(แต่ไม่ทั้งหมด) แต่ก็ถือว่าเป็นหนังที่ดีเรื่องหนึ่งครับ

  • เมื่อ 5 ม.ค. 47 17:25

    ชอบหนังเรื่องนี้มากเลย พระเอกหล่อม๊าก ๆๆๆๆๆๆๆ หนังน่ารักดี ดูไป ยิ้มไปทั้งเรื่องเลยแหละ ขอบอก ทำหนังแนวนี้ออกมาก้อดีนะคะ น่ารักดี ชอบพระเอกอ่ะ นางเอกก้อน่ารัก

  • เมื่อ 4 ม.ค. 47 21:58

    โอเคเบตง จะ"เฮฮา" หรือ"เคร่งขรึม"

    คอลัมน์ คนหลงวิก

    โดย นายหนัง

    "โอเคเบตง" คือหนังไทยเรื่องสุดท้ายที่ผมดูในรอบปี 2546 นับจาก กุมภาพันธ์, ความรักครั้งสุดท้าย, คืนไร้เงา, เรื่องรักน้อยนิดมหาศาล, แฟนฉัน, บุปผาราตรี..

    จากหนังที่เข้าฉายทั้งหมด 47 เรื่อง

    "เหตุผล" ของการดูหนัง(ไทย)ของผมมีไม่มาก ส่วนใหญ่ "เชื่อมั่น" ในตัว "ผู้กำกับฯ" และจะมีเพียงเรื่องสองเรื่องเท่านั้นที่ผมทำตัวเป็นผู้มีรสนิยมเข้าข่าย"ชนกลุ่มน้อย" เพื่อแสวงหา "ทางเลือกใหม่" ที่สอดคล้องกับรสนิยม และความพึงพอใจของตัวเอง อย่างหนัง "คืนไร้เงา" ของพิมผกา โตวิระ

    สำหรับ "นนทรีย์ นิมิบุตร" ชื่อ ชั้น เป็นเครื่องรับประกันความเป็น"หนังคุณภาพ" นับจาก 2499 อันธพาลครองเมือง, นางนาก, จันดารา และอารมณ์ อาถรรพ์ อาฆาต

    แต่หนังของ"นนทรีย์" ทุกเรื่อง มักจะมี "มุมมองที่แปลกใหม่" มานำเสนอ และจะเน้นไปที่ความเป็น "ดราม่า" เสียมากกว่า การหันมาทำหนังตามคอนเซ็ปต์ "ภาพยนตร์อารมณ์ดี" อย่าง "โอเคเบตง" จึงเป็นสิ่งที่ถือว่า "แปลก"สำหรับผม

    ที่ว่าแปลกเพราะ "ทางหนัง" ของนนทรีย์ ส่วนใหญ่จะออกแนวสะท้อนปัญหา มีแง่คิดเชิงปรัชญาให้คนดูขบคิด และ"เครดิต"ในการทำหนังแนวนี้ก็เป็น"กาวตราช้าง" ที่ติดตัวเขามานาน

    เพราะฉะนั้นอย่าได้แปลกใจหาก "โอเคเบตง" จะอยู่ตรงกลางระหว่างความเป็นภาพยนตร์อารมณ์ดี กับภาพยนตร์เชิงปรัชญาโดยนำเรื่อง "พุทธศาสนา"เข้ามาเกี่ยวข้อง

    ขอเล่าสั้นๆ นะครับ เนื้อหาเป็นเรื่องของ พระธรรม(ภูวฤทธิ์ พุ่มพวง) ที่บวชตั้งแต่อายุ 5 ขวบหลังพ่อแม่เสียชีวิต และพี่สาวพาไปฝากเป็นสามเณรในวัดป่าแห่งหนึ่ง กระทั่งอายุ 26 ปี ต้องสึกออกมาเพื่อมาดูแลหลานสาว(สรัญญ่า เครื่องสาย) หลังจากพี่สาวเสียชีวิตจากการลอบวางระเบิดรถไฟในเขตจ.ยะลา

    ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนเคยบวชเรียน และอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์มาเกือบ 30 ปี จะออกมาใช้ชีวิตทางโลก ดังคำสอนของท่านพุทธทาสที่ว่า "คนบางคนเคยบวชเรียน ได้ท่องพระไตรปิฎกของพระพุทธเจ้าอย่างเชี่ยวชาญ แต่ถ้าไม่ได้ออกไปเผชิญโลกของความเป็นจริงก็จะไม่มีวันเข้าใจในสิ่งเค้าเรียนรู้มา อย่างคนที่รู้ว่าไฟร้อน แต่ไม่เคยโดนก็จะไม่รู้ แต่พอได้รู้เลยไม่อยากโดนไฟอีก"

    หากนนทรีย์ เลือกที่จะให้ "ธรรม" ที่สึกออกมาเรียนรู้ชีวิตทางโลก ในรูปแบบที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน "ทางหนัง" ก็เปิดรับอยู่ แต่นนทรีย์กลับเลือกเดินทางสายกลางตามคติพุทธศาสนา

    อารมณ์ขันของหนังที่ดูเหมือนเริ่มต้นจะดี ก็ค่อยๆ มีน้ำเสียง "ขึงขัง"เคร่งขรึม ไปในช่วงท้ายๆ ด้วยความพยายามบอกกับคนดูว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าจะถูก ผิด ดี ชั่ว ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นส่วนไหนเลยว่าเป็นตัวเรา หรือว่าเป็นของเรา เพราะมันทำให้เราเป็นทุกข์ แม้แต่ความดี ถ้าไปยึดมั่นมากเกินไป ก็ทำให้เป็นทุกข์ได้เช่นกัน

    อีกทั้งวิธีการเล่าเรื่องช่วงท้ายเน้นไปที่หลักปฏิบัติทางพุทธศาสนา ทำให้หนังเหมือนมี "กำแพง"กั้น คนดูกลายเป็น"ผู้รับสารทางเดียว" ที่นั่งเฝ้าดูในฐานะผู้สังเกตการณ์

    ซึ่งเป็นไปตามหลักคำสอนของพุทธศาสนาที่ว่า "อย่าเอาตัวเองเข้าไปยึดติดอยู่กับมัน"

    แต่สำหรับนนทรีย์แล้ว เขาไม่สามารถ "สลัด" ให้หลุดพ้นจากความเป็นตัวของตัวเองได้ จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ผมว่า "นนทรีย์" มีทางในการทำหนังของตัวเองที่ดีอยู่แล้ว

    การพยายาม "ฉีก" ด้วยการนำความเป็นคนอารมณ์ดีเพื่อหาอารมณ์ขัน ก็เป็นเป็นสิ่งดี แต่ "โอเคเบตง" มันก้ำๆ กึ่งๆ ระหว่าง "ความเฮฮา" กับ "ความเคร่งขรึม" กระทั่งบรรยากาศในห้องนอนของ "ธรรม"(ร้านเสริมสวยขอวงพี่สาว) รวมทั้งการใช้กระจกสะท้อนคำสอนของพระพุทธศาสนา การจัดวาง วางมุมกล้องเหมือนกำลังนั่งดูหนังผี

    นอกจากนั้น เหตุการณ์ต่างๆ ในเรื่องที่เกี่ยวข้องก็ถูกนำเสนอแบบผิวเผิน ไม่ว่าจะเป็นชีวิตในการปฏิบัติธรรมมาเกือบตลอดทั้งชีวิตของ "ธรรม" หรือการไม่รู้จักโทรศัพท์มือถือ รวมทั้งความรักของฟารุก(อรรถพร ธีมากร) และหลิน(จิระนันท์ มโนแจ่ม) ที่ไม่มีจุดเชื่อมต่อให้เห็นความรักที่แท้จริง ทำให้บางครั้งรู้สึกไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวละครเป็นอยู่

    แต่สิ่งหนึ่งที่ "นนทรีย์" ทำได้ดีไม่มีตกก็คืองานด้านโปรดักชั่น ที่สามารถถ่ายทอดบรรยากาศของภาพ และผู้คนในอำเภอเบตง เมืองเล็กๆ ที่มีความหลากหลายทั้งด้านเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม ออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ปรุงแต่ง เข้ากันได้ดีกับดนตรี-เพลงประกอบ

    หาก "โอเคเบตง" กำหนดทางหนังให้ชัดเจนว่าจะเน้น "ความเฮฮา" หรือ "ความเคร่งขรึม" อาจจะทำให้หนังดูมีสีสัน และน่าสนใจมากกว่านี้ ผลงานชิ้นนี้ของ

    "นนทรีย์"

  • เมื่อ 4 ม.ค. 47 19:23

    เป็นคนหนึ่งที่ไปดูมาแล้ว !!!
    ในฐานะที่เป็นคนยะลา รู้สึกเสียดายบรรยากาศการเดินทางโดยรถไฟสายใต้ เพราะสองข้างทางของการเดินทางเป็นบรรยากาศที่สนุกที่ไม่มีขบวนเดินรถไฟสายไหนสนุกเท่าสายใต้อีกแล้ว และเป็นการเปิดทางเข้าสู่ภาคใต้ ถือเป็นการเติมสีสันให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ที่น่าจะมี แต่ก็ไม่มี
    จริงๆแล้วไม่น่าจะใช้ชื่อเรื่องนี้ รู้สึกผิดหวังกับภาพ ที่น่าจะสื่อถึงความเป็นเบตงมากกว่านี้ ดูๆไปก็นึกภาพเบตงไม่ออกสักที
    ดูแล้วไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่

  • เมื่อ 4 ม.ค. 47 17:07

    เห็นโฆษณาเเล้ว อยากดูมากๆ พอไปดูเเล้วก็ดีนะ นักเเสดงทุกคนเล่นได้ดีมากๆโดยเฉพาะพระธรรมเเละยุ้ย ดูเเล้วทำให้อยากไปเที่ยวเบตงสักครั้งเเม้บางฉากจะดูขัดๆไป บางฉากก็มีเกินความจำเป็น ที่สำคัญมากคือพระธรรมไม่น่าจะอ่อนต่อโลกขนาดนี้ทำให้เสียความรู้สึกเหมือนกัน เเต่โดยรวมเเล้วก็เป็นหนังที่ดีเรื่องหนึ่ง

  • เมื่อ 3 ม.ค. 47 12:28

    บอกตรง ๆ ครับว่า เฉย ๆ สำหรับเรา คิดว่าเป็นงานที่เสมอตัว ของคุณอุ๋ย นนทรีย์ ไม่ดีไม่แย่ ชอบตรงที่เราได้เห็นมุมมองที่ไม่เคยเห็น และเค้าเลือกคนแสดงเก่งครับ ยังไงคนไทยลองไปดูนะครับ

  • เมื่อ 3 ม.ค. 47 05:29

    หนังเริ่มต้นด้วยประโยคที่ว่า "ทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น" เราเชื่อว่าคำๆนี้สื่อไปถึงตัวหนังเช่นกัน ความพยายามที่จะเล่าเรื่องอีกวิธี เล่าเรื่องที่ตามตัวละครเพียงตัวเดียว ผู้ชมจะได้เจอทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมๆกับตัวละครตัวนั้น หนังเรื่องนี้จะดูไม่ยากเลยถ้าจะใช้วิธีเล่าเรื่องแบบบ้านนอกเข้าเมืองประเภทว่ามาเจออะไรก็ใช้ไม่เป็น ใช้ผิดใช้ถูก ขำ ฮากันไป เด๋อๆด๋าๆ
    หนังพยายามแสดงความขัดแย้งในจิตใจที่พระเอกได้ไปเจอในสิ่งต่างๆที่ไม่เคยเจอทางความรู้สึก (ไม่ใช่ข้าวของเครื่องใช้ / โทรศัพท์มือถือจึงเป็นแค่รูปภาพพี่สาว ไม่ใช่อุปกรณ์เพื่อการสื่อสาร) ความขัดแย้งระหว่างโลกของธรรมะ กับโลกียะ
    พระธรรมบวชเรียนมาทั้งชีวิตถือศีลมาสองร้อยกว่าข้อ แต่สึกออกมาแค่ไม่นาน ศีล 5 ข้อยังรักษาไม่ค่อยจะได้...(อันที่จริงไม่ได้ อย่างแรง!!!)
    หนังเรื่องนี้ จะดูสนุกถ้าดูอย่างรู้จักคิด และ เข้าใจชีวิต
    อย่างเช่นพระธรรมที่พอประสบปัญหาชีวิต ก็หันไปพึ่งพาสุรายาเมา แต่สุดท้าย ก็ไม่สามารถขจัดปัญหาภายในใจได้...จนต้องร้องเรียกหลวงพ่อ ที่ตนเองเชื่อคำสอนสั่งมาตลอด...(จากที่พูดเสมอๆว่า หลวงพ่อบอกว่า...อย่างนั้นอย่างนี้...) หลวงพ่อ คือ ที่พึงทางใจ...หลวงพ่อ ก็คือพระธรรม (คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า) หลวงพ่อไม่ต้องมีตัวตนหรอก เพราะหลวงพ่อคือวคามในใจ...ตรงนี้ไงบทที่ทำได้ดีมากๆ แต่ต้องรู้จักคิด
    อย่างที่บอกการดูหนังเรื่องนี้ สนุก ไม่สนุกมันอยู่ขึ้นกับประสบการณ์ชีวิต...

  • เมื่อ 2 ม.ค. 47 21:33

    ผมไปดูมาแล้ว สนุกดีออก
    เนื้อเรื่องของเรื่องนี้ก็สนุกดีนะ เป็นเรื่องของพระที่บวชมาตั้งแต่เด็ก พอสึกออกมา ก็พยายามปรับตัวให้เข้ากับโลกปัจจุบัน ดูแล้วสมจริงสมจังดีอะ ดำเนินเรื่องก็ดีนะ อาจจะไม่ค่อยตลกเท่าไหร่ แต่ดูไปก็ยิ้มไป ก็เป็นหนังสะท้อนสังคมปัจจุบันอะครับ จะเอาแต่ฮาทั้งเรื่องก็ไม่ได้ เดี๋ยวจะไม่ได้สอดแทรกแง่คิดดีๆ ลงไป

    ผมดูแล้วสนุกดีอะครับ ยิ้มทั้งเรื่องเลย ** นางเอกก็น่ารัก อิอิ **

  • เมื่อ 1 ม.ค. 47 13:29

    ตัวละครเอกแบนมากกกกก ผกก. มีโอกาสตั้งเยอะที่จะปูให้เห็นว่าพระธรรมมีโลกส่วนตัวที่ naive จากวัยเณรเป็นอย่างไร? น่าจะมีฉากแสดงให้เห็นว่า เณรธรรมเคร่งครัดต่อศีลปฎิบัติอย่างจริงจัง โดยไม่เคยแผ่วผ่านทางโลกย์ ตัวละครที่ชื่อหลวงพ่อเป็นใครหน่ะที่นายธรรมเพ้อบ่นตอนเมา มีความผูกพันธ์แค่ไหน? ไม่เห็นบอกให้คนดูเข้าใจ

    หลวงพี่ธรรมออกเดินทางจากวัดป่าที่ไม่รู้จักแม้แต่โทรมือถือ (ยังมีอยู่อีกหรือ ท่านนายกทักษิณ?) มาลงมายังเบตง มาทำไม? มาดูแลหลานรักหรือ? บทไม่ได้ส่งให้เกิดพัฒนาการความผูกพันธ์ระหว่างอาพระที่โตแต่ร่างกายกับหลานวัยเยาว์ที่ ติดเกมส์และ walkman แต่อย่างใด ฉากแรกที่หลานขาเข้าเฝือกและแม่เพิ่งเสียไปโดนเพื่อนๆแม่จับแต่งตัวให้ มีไว้ทำไม?

    ผกก. น่าจะสานโลกแห่งการเรียนรู้จากหลานเข้ากับหลักธรรม แล้วต่อเนื่องไปยังรักเชิงชอบกับหลิน หรือรักเริงกามากับนักร้องคาเฟ่ หรือแค้นที่โดนพรากพี่สาวจากมือระเบิด แต่ก็ดูเรื่อยเปื่อย

    นายธรรมอยากขี่จักรยานไปทำไมหล่ะ อยากชนะตัวเองให้เข้ากับโลกใหม่หรือ? ทั้งที่เขาใช้แมงกะไซด์กันไปแล้ว ไหนหล่ะชีวิตจะมีรสต้องรู้จักถีบ

    โดยรวมเห็นว่าหนังไม่ได้ให้อรรถรสของความสุขที่กลับคืนมาเนื่องจากบทที่อ่อนมาก เสียดายเงินมาก

    ที่สำคัญวัฒนธรรมเลวๆที่ใช้มือถือในโรงหนัง โดยไม่เคารพสิทธิ์ของคนอื่นกลับแพร่หลายเพิ่มมากทุกวัน น่าละอายใจ

    อ่อนต่อโลก

มีทั้งหมด 79 วิจารณ์ หน้าที่ 2 [ก่อนหน้า] 1 2 3 4 5 6 7 8 [ถัดไป]
เขียนวิจารณ์
จะต้องลงชื่อเข้าใช้ระบบก่อน จึงจะเขียนวิจารณ์ได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google+ หรือ Facebook ก็ได้
Facebook | Google+

advertisement

วันนี้ในอดีต

  • รักแห่งสยามรักแห่งสยามเข้าฉายปี 2007 แสดง มาริโอ้ เมาเร่อ, วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล, กัญญา รัตนเพชร์
  • Harry Potter and the Chamber of SecretsHarry Potter and the Chamber of Secretsเข้าฉายปี 2002 แสดง Daniel Radcliffe , Emma Watson , Rupert Grint
  • ตีสาม 3Dตีสาม 3Dเข้าฉายปี 2012 แสดง กาญจน์เกล้า ด้วยเศียรเกล้า, โทนี่ รากแก่น, ชาคริต แย้มนาม

เกร็ดภาพยนตร์

  • Badlapur - เป็นภาพยนตร์ที่ไม่ใช่แนวตลกเรื่องแรกที่ วรุณ ธาวาน ผู้รับบท รักฮาฟ แสดง อ่านต่อ»
  • Chappie - ชาร์ลโต คอปลีย์ ผู้รับบท แชปปี้ กับผู้กำกับ นีลล์ บลอมแคมป์ เรียนโรงเรียนเดียวกันสมัยมัธยมศึกษา ทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกัน ชาร์ลโต จึงร่วมแสดงในภาพยนตร์ทุกเรื่องที่ นีลล์ กำกับก่อนหน้านี้ ได้แก่ District 9 (2009) และ Elysium (2013) อ่านต่อ»

เปิดกรุภาพยนตร์

ฮักมะย๋อมมะแย๋ม ฮักมะย๋อมมะแย๋ม เรื่องราวความรักที่เต็มไปด้วยอุปสรรคของ บักโจ้ (วัชรพงษ์ ปัทมะ) ชายหนุ่มสุดซื่อที่ถูกสถานการณ์บีบคั้นให้ต้องร่วมมือกับ ...อ่านต่อ»