ละคร อตีตา
ดู 8,753 ครั้ง /
แชร์
ละครออกอากาศ | วันศุกร์ วันเสาร์ วันอาทิตย์ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ช่องที่ออกอากาศ | ละครช่อง 7 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เริ่มออกอากาศ | 17 มกราคม 2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เวลาออกอากาศ | 20:30 - 22:40 น. |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
กำกับโดย | วินัย ปฐมบูรณ์ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ประพันธ์โดย | บทประพันธ์ ทมยันตี, บทโทรทัศน์ อักษราวุธ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
นำแสดงโดย | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ผู้สร้าง | บริษัท เจ เอส แอล โกลบอล มีเดีย จำกัด |
ภาพนิ่งจากละคร
เรื่องย่อ อตีตา
การรบครั้งที่สอง เมืองใจ (อรรคพันธ์ นะมาตร์) และนักรบบางระจันต่อสู้กับข้าศึกอย่างห้าวหาญ นำชัยชนะกลับสู่ค่ายท่ามกลางความยินดี และความเศร้าเสียใจของครอบครัวที่สูญเสีย จันกะพ้อ (ทิสานาฏ ศรศึก) ดีใจที่พ่อ จันหนวดเขี้ยว (วินัย ไกรบุตร) นำชัยกลับมา ในขณะที่นายจันหนวดเขี้ยวบอกว่ามีอีกแรงสำคัญที่ช่วยในครั้งนี้คือเมืองใจ เมืองใจเป็นชายชาตรี พ่อเป็นขุนนางที่พากันหนีมาจากอโยธยา เนื่องจากทนสภาพที่อโยธยามีพระพุทธเจ้าหลวงสองพระองค์ไม่ได้ และต่างก็มาเป็นกำลังสำคัญของชาวบ้านบางระจัน จนบิดาของเมืองใจตายไป เหลือเพียงเมืองใจที่ยังคงอยู่ร่วมรบกับชาวบ้านบางระจัน กาหลง (ฝนทิพย์ วัชรตระกูล) แอบหลงรักเมืองใจ ที่แม้แต่จันกะพ้อก็รู้ดี แต่ที่ทั้งสองคนไม่รู้คือเมืองใจแอบมีใจให้จันกะพ้อ แต่ไม่กล้าแสดงออก นายแท่น (ภูธฤทธิ์ พรหมบันดาล) และนายจันหนวดเขี้ยว ผู้นำค่าย เรียกประชุมชายฉกรรจ์ทั้งหลาย แม้ศึกครานี้จะชนะ แต่ฝ่ายข้าศึกก็ย่อมต้องส่งนายทัพพร้อมอาวุธมาใหม่ จึงไม่น่าจะนิ่งนอนใจ หนทางที่จะชนะศึกได้คือต้องมีปืนใหญ่มาสู้ศึก พระอาจารย์ธรรมโชติ (สรพงศ์ ชาตรี) ผู้เป็นที่เคารพสักการะ ศูนย์รวมกำลังใจให้ชาวบ้านบางระจัน มองหน้า ศิโรตม์ (ภัทรเดช สงวนความดี) แล้วรำพึงเพียง "กรรมมะ พันธะ สัญญา" เมืองใจได้รับมอบหมายให้ออกเดินทางไปพร้อมกับเกิดและคงเดินทางสู่อโยธยาเพื่อขอปืนใหญ่จากออกหลวงศรเสนี ผู้เป็นตา ระหว่างทางทั้งสามพบข้าศึกซุ่มโจมตี เกิดและคงยอมสละชีพเพื่อรั้งให้เมืองใจหนีไป เมืองใจเดินทางเพียงลำพังจนถึงวัดมเหยงค์ ฟ้าฝนเริ่มเทกระหน่ำ ลมวนหมุนพัดรอบตัวเมืองใจอย่างมหัศจรรย์
ที่โลกปัจจุบัน บริษัท ศิวะกรุ๊ป เป็นบริษัทรับจัดงาน ที่คุณศิวะ สามีที่เสียชีวิตไปแล้วของ ปานทิพย์ (เดือนเต็ม สาลิตุล) เป็นผู้ก่อตั้งขึ้น โดยภายหลังมีคุณปานทิพย์ทำหน้าที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ มีคุณปรางทองน้องสาวร่วมถือหุ้นด้วยจำนวนหนึ่ง และต่อมาการขยายหุ้นลงทุนบริษัทเพิ่มก็ได้ คุณก้องเกียรติ (สมิท ธนโชติ) เพื่อนของคุณศิวะ ที่คุ้นเคยกับคุณปานทิพย์เป็นอย่างดีมาซื้อหุ้นเพิ่มโดยมีคุณปานทิพย์เป็นหุ้นใหญ่ คุณปานทิพย์เคยเป็นผู้บริหารต่อมาด้วยวัยและใจมาทางธรรมมากขึ้นก็ปล่อยให้คนสนิทคือ คุณอรรถ (ปราบ ยุทธพิชัย) และลูกชาย อรรถวิทย์ (ภาณุ สุวรรณโณ) เป็นผู้บริหาร และให้ศิโรตม์ที่เพิ่งกลับจากเมืองนอกมาเป็นประธานบริหาร ศิโรตม์เป็นหนุ่มหล่อ ลูกชายคนโตของเจ้าของบริษัทรับจัดงานรายใหญ่ ศิวะกรุ๊ปเพิ่งกลับมาจากเมืองนอกเนื่องจากผู้เป็นพ่อถึงแก่กรรม ศิโรตม์ใช้ชีวิตอย่างชายหนุ่มเจ้าสำราญไม่สนใจการงาน เพราะไม่ค่อยพอใจอรรถวิทย์ซึ่งทำงานดูแลบริษัทอยู่ตั้งแต่ช่วงที่ศิโรตม์อยู่เมืองนอก ศิโรตม์อยากจะปรับบริษัทให้ทันสมัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งอยากให้บริษัทมีผลงานทันสมัย ไม่ใช่เชยๆ อย่างที่อรรถวิทย์ทำมา
วันงานแถลงข่าวงานแสงสีเสียงมีนักข่าวและแขกมากันเต็ม ศิโรตม์แสดงออกถึงความไม่พอใจในความคิดและการทำงานของอรรถวิทย์ ส่วน ลติกา (ฝนทิพย์ วัชรตระกูล) ก็มาร่วมแสดงบนเวทีอย่างสวยงาม แม้ว่าจะขัดใจตนเองไม่น้อย เพราะลติกาเป็นศิลปินชอบวาดรูปมากกว่าการแสดงตัวอย่างนี้ ศิโรตม์มองการณ์ไกลจึงขอให้เพื่อนคือ ยศสันต์ (ธัญวิชญ์ เจนอักษร) มาช่วยเรื่องของการออกแบบ ยิ่งทำให้อรรถวิทย์ไม่พอใจ คุณปานทิพย์ผู้มารดาเตือนศิโรตม์ให้ใส่ใจการทำงาน เพราะศิโรตม์ควรต้องเข้ามาบริหารบริษัทต่อไป ไม่ควรเพียงมาติการทำงาน แต่ควรร่วมให้ความคิดและร่วมทำงานพร้อมกับทีมงานตั้งแต่เริ่มต้น ศิโรตม์ยอมเดินทางไปวัดมเหยงค์ อยุธยาเพื่อไปดูสถานที่ที่จะจัดงานแสงสีเสียงใหญ่ตอนปลายปี โดยมี ปรางทอง (มัณฑนา หิมะทองคำ) น้าสาว และอรรถวิทย์ไปดูสถานที่ด้วย ระหว่างกำลังดูสถานที่ศิโรตม์ได้ยินเสียงดาบปะทะกัน ได้ยินเสียงผู้คนโห่ร้อง เขาไม่รู้ว่านี่คือเสียงอะไร จึงเลี่ยงจากกลุ่มเพื่อออกตามหาที่มาของเสียงนั้น ฝนตกหนัก ฟ้าฝนมืดดำ ศิโรตม์พบชายผู้หนึ่งนอนฟุบอยู่ในบริเวณวัด ดูท่าน่าจะเป็นนักแสดงแสงสีเสียงเพราะแต่งกายเหมือนนักรบโบราณ ศิโรตม์ปลุกให้ชายผู้นี้ตื่นขึ้น เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับความงุนงง ศิโรตม์พยายามซักถามก็ได้ความว่าชื่อเมืองใจ แต่เมืองใจพูดจาด้วยภาษาแปลกพร่ำพูดถึงแต่การรบข้าศึกที่กำลังบุกและเขาต้องการปืนใหญ่ไปสู้ศึก เมืองใจถามว่า "เหตุใดวัดมเหยงค์จึงถูกทำลายเช่นนี้ ศิโรตม์ก็พลอยงงๆ เพราะวัดก็เก่าโบราณเป็นซากปรักหักพังอย่างนี้มานานแล้ว ศิโรตม์พยายามจะลาจากไปเพราะเขาต้องกลับไปสมทบกับทีมงาน แต่ด้วยความรู้สึกบางอย่างลึกๆ ศิโรตม์รู้สึกเป็นห่วงชายแปลกหน้าผู้นี้ เขาคงเป็นโรคความจำเสื่อม ศิโรตม์จึงชวนเมืองใจขึ้นรถพากลับบ้านที่กรุงเทพฯ เมืองใจยอมขึ้นเกวียนยนต์ เขาแปลกใจกับสิ่งต่างๆ เขาไม่รู้จักรถยนต์ ไม่รู้จักโทรศัพท์ ไม่รู้จักอะไรนอกจากบางระจันและอโยธยา
ส่วนปรางทองที่กำลังเดินดูสถานที่ก็แปลกใจที่อยู่ๆ หลานชายก็หายไป เพราะเธอนัดลติกาสาวสวย ลูกสาวผู้ถือหุ้นใหญ่ให้มาดูสถานที่ด้วย แต่ที่จริงเธออยากให้ลติกาได้มาสนิทสนมกับศิโรตม์ ลติกาเมื่อขับรถมาถึงวัดมเหยงค์เธอก็รู้สึกแปลกๆ และยังได้ยินเสียงประดาบ เสียงคนสู้รบกัน เธอไม่รู้ว่านี่คือเสียงอะไร ลติกามึนงงเพราะระยะนี้เธอรู้สึกอะไรแปลกๆ เธอแว่บๆ เห็นภาพชายผู้หนึ่งอยู่เสมอ เธอไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เหตุใดเธอจึงเห็นเขาอยู่บ่อยๆ แต่วันนี้เธอได้พบแต่อรรถวิทย์ เธอไม่ได้พบศิโรตม์ เมืองใจตื่นตาตื่นใจและตื่นตระหนกกับสิ่งต่างๆที่เขาไม่คุ้นเคย เขาเข้าใจว่าเขาพลัดหลงมาอยู่สวรรค์และคิดว่าศิโรตม์ก็คือเทวดา เมืองใจจึงเรียกศิโรตม์ว่า ท่านศรี (ภัทรเดช สงวนความดี) และหวังว่าท่านศรีจะพาเขาไปหาปืนใหญ่และสามารถนำกลับไปสู้ศึกได้ คุณปานทิพย์มารดาของศิโรตม์ เดินทางไปทำบุญที่วัดเขานางบวชและได้พบกับพระรูปหนึ่งท่าทางน่าเลื่อมใส ท่านบอกว่าท่านชื่อพระวิจิตรธรรมโชติ และกล่าวว่า "ฝากลูกศิษย์ที่จะไปที่บ้านและท่านจะตามไปเยี่ยมลูกศิษย์ของท่านด้วย" ศิโรตม์พาเมืองใจกลับมาถึงบ้านพบ ศิรส (ตรีวรัตถ์ ชุติวัฒน์ขจรชัย) น้องชาย ศิรสสงสัยในคำพูดและท่าทางแปลกของเมืองใจ ศิรสตั้งข้อสงสัยว่าเมืองใจน่าจะมาจากอีกมิติหนึ่ง เมืองใจวุ่นวายใจจนเมื่อได้พบกับคุณปานทิพย์เขาตกใจ แล้วก้มลงกราบแทบเท้า พร้อมทั้งเรียกคุณปานทิพย์ว่าท่านแม่ คุณปานทิพย์เองก็รู้สึกผูกพันกับชายหนุ่มแปลกหน้าผู้นี้อย่างประหลาด เธอฉุกใจคิดว่านี่คือลูกศิษย์พระอาจารย์ธรรมโชติเป็นแน่ แต่เมืองใจคือใคร ยิ่งได้เห็นดาบที่เมืองใจถือมา เมื่อมาเทียบกับดาบโบราณที่อยู่ที่บ้านมายาวนาน ดาบทั้งสองนั้นเหมือนกันราวกับเป็นดาบคู่ศึก เมืองใจย่อมมิใช่คนธรรมดา คุณปานทิพย์ซักถามว่าเมืองใจจะเข้าไปทำอะไรที่อโยธยา เมืองใจก็ตอบว่าไปขอปืนใหญ่มาช่วยชาวค่ายบางระจัน และเมื่อถามถึงปีที่เมืองใจจากมาเมืองใจตอบ เดือนห้า ปีระกา สัปตศก นั่นคือ ปีระกา นั่นคือพุทธศักราช 2308 ทุกคนถึงกับนิ่งอึ้ง จะปักใจเชื่อได้หรือไม่ว่าบุคคลตรงหน้าคือบรรพบุรุษแต่เก่าก่อน
คืนนั้นกว่าจะได้เข้านอนศิโรตม์ต้องดูเมืองใจสวดมนต์ร่ายพระเวทย์หลายอย่าง ศิรสกลับถูกคอและเข้าใจเมืองใจกว่าศิโรตม์ เมืองใจเชื่อมั่นว่าเขาอยู่บนสวรรค์ เทวดาจะบันดาลปืนใหญ่กลับไปให้ แล้วค่ายบางระจันก็จะชนะ ศิโรตม์และศิรสมองตากันและพยายามที่จะไม่พูดเรื่องบางระจันแตก ส่วนคุณปานทิพย์ค้นพงศาวดารเพื่อหาร่องรอยของเมืองใจ เธอกลับพบชื่อของพระอาจารย์ธรรมโชติแทน ในพงศาวดารกล่าวเพียงว่าพระอาจารย์หายไปจากค่ายหลังค่ายแตกแต่ไม่มีใครพบเห็น ปานทิพย์ค่อนข้างมั่นใจว่าพระอาจารย์วิจิตรธรรมโชติ กับพระอาจารย์ธรรมโชติ ในค่ายบางระจันน่าจะเป็นพระรูปเดียวกัน ขณะที่ศิโรตม์นอนหลับเมืองใจกลับหลับไม่ลง เขามองพระจันทร์พลางหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่ชาวบ้านต่างได้รับบาดเจ็บจากการออกไปรบ และเขาเห็นหน้านวลน้อยๆ ของจันกะพ้อ กรุงเทพฯ ในเช้าวันรุ่งขึ้น เมืองใจให้ศิรสลองใช้เสียมตีเพื่อแสดงวิชาคงกะพันให้ดู รอยสักน้ำมันเรืองรองขึ้นจากผิวของเมืองใจ ศิรสเริ่มมั่นใจว่าเมืองใจข้ามพ้นอดีตมาสู่ปัจจุบัน แต่ปรางทองน้าสาวได้มาเห็นตอนช่วงที่ศิรสกำลังตีเมืองใจ ด้วยความที่ไม่รู้จึงสร้างความตกอกตกใจไม่น้อย วันรุ่งขึ้นปรางทองพาลติกามาร่วมถวายเพลพระวิจิตรธรรมโชติ ลติกาออกมาที่ริมน้ำกับศิโรตม์ทั้งสองคนต่างรู้ว่าผู้ใหญ่กำลังจับคู่ให้ ศิโรตม์ก็ถามตรงๆ ว่าลติกาต้องการอะไรจากเขา ลติกาเองก็บอกว่าเธอเองมางานวันนี้เพราะถ้าเธอมาก็จะได้เปิดงานแสดงภาพที่บ้านได้ พ่อแม่อยากให้เธอมาทำความรู้จักกับศิโรตม์ไว้ แต่เธอไม่เห็นด้วยและไม่ได้คิดอะไรอื่นทั้งนั้น ศิโรตม์เองก็บอกว่าเขาเองก็ต้องทำงานดูแลบริษัทและน้าสาวก็สั่งให้มาดูแลลติกาเหมือนกัน ทั้งสองเริ่มเข้าใจสถานการณ์ทั้งคู่ดี ศิโรตม์คิดอะไรดีๆ ได้ ในเมื่อทั้งสองคนต่างก็มีผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ทำไมเราเองไม่พยายามจะปรับตัวเข้าหากันแทน เรื่องจะได้ดีต่อทั้งสองฝ่าย เราก็มาลองคบกันไปเลย ลติกาว่าทำไมมองความรักเป็นเรื่องง่ายดาย แต่แล้วลติกาจึงได้พบกับเมืองใจ เธอตกใจที่ชายผู้นี้มีหน้าตาละม้ายชายที่เธอฝันถึง เธอซักถามศิโรตม์ว่าเขาคือใคร เพราะเธอไม่เชื่อว่าเขาคือนักแสดงจากต่างประเทศตามที่ศิโรตม์บอก เมื่อพระอาจารย์มาถึงเมืองใจอึ้งไปเมื่อพบว่าท่านคือพระอาจารย์ธรรมโชติ พระอาจารย์ของชาวบางระจัน พระอาจารย์พูดเป็นนัยๆ กับเมืองใจ และท่านยังเสกข้าวทิพย์ให้ศิโรตม์ ทันที่ที่ศิโรตม์เคี้ยวข้าวทิพย์เขาเห็นภาพการสู้รบที่เขาไม่เข้าใจว่าคืออะไร ส่วนคุณปานทิพย์นั้นพระอาจารย์เนรมิตร พระเม็ดน้อยหน่าองค์น้อยให้ ซึ่งน่าแปลกที่ปานทิพย์สามารถอธิบายได้ราวกับคุ้นมานาน
ที่บางระจันนายจันหนวดเขี้ยวนำศพนายเกิดนายคงกลับมา กาหลงเศร้าเสียใจไม่เป็นอันทำสิ่งใดเพราะเป็นห่วงเมืองใจที่หายเงียบไปไม่รู้จะเป็นตายร้ายดี ขณะเดียวกันมีชาวบ้านอพยพมาที่ค่ายบางระจันเพิ่มมากขึ้นอีก รวมถึง ปล้อง เฟื่องแฟง สามพี่น้องที่ร่ำลือกันถึงความเก่งกล้าในการสู้รบ จันกะพ้อดีใจยิ่งนัก ทั้งสามคือเยี่ยงอย่างที่เธอจะดำเนินรอยตาม จันกะพ้อจึงมุ่งฝึกดาบกับนายแท่นด้วยหวังว่าจะได้ไปช่วยออกรบและตามหาเมืองใจ ศิโรตม์เริ่มเชื่อว่าเมืองใจเป็นคนมาจากบางระจัน แต่เขาข้ามมาอยู่ในยุคนี้ได้อย่างไรนั้นไม่มีใครมีคำตอบ ศิโรตม์คิดว่าหากเมืองใจกลับไปบางระจัน เมืองใจก็ย่อมต้องตายไปพร้อมกับชาวบ้านบางระจัน เขาจึงจะพยายามจะให้เมืองใจรู้จักโลกยุคนี้ แต่เมืองใจนั้นไม่สนใจสิ่งใดนอกจากปืนใหญ่ ศิโรตม์พาเมืองใจไปยิงปืนเมืองใจลองยิง สามารถยิงได้แม่นยำ แต่ก็ยังยืนยันว่ากระสุนเล็กเท่านี้ทำอะไรข้าศึกไม่ได้ต้องปืนใหญ่เท่านั้น ศิโรตม์จึงพาเมืองใจไปกระทรวงกลาโหม ซึ่งเมื่อเมืองใจเห็นปืนใหญ่ก็ดีใจมาก ศิโรตม์พาเมืองใจเข้าไปใกล้ เมืองใจสัมผัสปืนใหญ่ บอกว่าการเดินทางของเขาในที่สุดก็สำเร็จแล้ว เมืองใจเอ่ยปากขอปืนใหญ่กับศิโรตม์ ทำให้ศิโรตม์หนักใจเพราะไม่สามารถให้ได้ เมืองใจไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงให้มิได้ ทั้งมีปืนใหญ่เรียงรายอยู่มากมาย เมื่อไม่ได้ปืนใหญ่ดังใจหวังเมืองใจก็อยากกลับบางระจันเพราะเป็นห่วงสถานการณ์ที่ค่าย ศิโรตม์ถามว่าอยู่ที่นี่ปลอดภัยกว่าจะกลับไปทำไม เมืองใจตอบว่า "เขาจะอยู่สุขสบายและทิ้งให้เพื่อนชาวบางระจันลำบาก ต้องสู้รบกันโดยไม่มีเขาไม่ได้" ศิโรตม์บอกว่า "บางระจันหรือจะสู้ข้าศึกได้" เมืองใจกล่าวว่า "ไม่ว่าจะสู้ได้หรือไม่ได้ ขอได้เพียงได้ทำหน้าที่เพื่อแผ่นดิน เพื่อคนที่เรารักจนถึงนาทีสุดท้ายที่สิ้นลม ชีวิตที่เกิดมาก็นับว่ามีค่าที่สุดแล้ว"
ลติกาเริ่มฝันเห็นภาพกาหลงพูดกับจันกะพ้อ ลติกาวาดรูปจันกะพ้อ ลติกาขโมยเมืองใจออกไปเที่ยวด้วยความหวังว่าจะช่วยให้เมืองใจมีความสุขขึ้น เมืองใจอาจตื่นเต้นกับสวรรค์ที่แปลกตาแต่ไม่มีความสุข ลติกาพาเมืองใจมาห้องจัดแสดงภาพของตนเองและเปิดภาพจันกะพ้อ เมืองใจฉงน ลติกาพยายามซักว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร นานวันเมืองใจทนรออยู่ไม่ไหวจึงหนีออกจากบ้านของศิโรตม์ ติดรถคนที่ตนเองช่วยขนผักขึ้นรถมาส่งหน้ากระทรวงกลาโหม หวังจะนำปืนใหญ่ไป แต่เมื่อยกไม่ขึ้นก็นั่งอยู่ที่นั่น ทางบ้านคุณปานทิพย์ ศิโรตม์ ศิรส และลติกาพากันตกใจที่เมืองใจหายไป ศิโรตม์เดาได้จึงมาตามเมืองใจที่หน้ากระทรวงฯ หว่านล้อมให้กลับเพราะจะทำให้ท่านแม่เป็นห่วง เมืองใจจึงยอมกลับ คุณปานทิพย์จึงได้มอบดาบเล่มที่อยู่ที่บ้านให้เมืองใจ บอกว่าดาบนี้เป็นดาบคู่ศึก เมื่อดาบทั้งสองได้มาพบกันสมควรที่จะได้อยู่คู่กันดังเดิม เมืองใจรับดาบมาด้วยความซาบซึ้งใจ คุณปานทิพย์เห็นความทุกข์ของเมืองใจก็นึกขึ้นได้ว่าน่าจะพาเมืองใจไปพบพระอาจารย์ธรรมโชติ ท่านคงจะให้คำตอบได้ทั้งหมด ศิโรตม์พร้อมด้วยคุณปานทิพย์ ลติกา จึงขับรถพาเมืองใจไปวัดเขานางบวช ก่อนไปเมืองใจคว้าดาบคู่ออกจากบ้านมาด้วย ระหว่างทางฟ้าฝนเริ่มมืดครึ้ม ฝนเทลงมาอย่างหนักมีกิ่งไม้หล่นลงมาแขวงทาง ทั้งศิโรมต์และเมืองใจลงจากรถไปลากกิ่งไม้ออกไป เห็นทั้งสองหิ้วกิ่งไม้ไปไหวๆ แล้วกิ่งไม้ก็ร่วงลงแต่คนหายไป ปานทิพย์อยู่ในรถเป็นห่วงทำไมหายไปนาน ฝนกลับซาลงอย่างรวดเร็วศิรสออกจากรถวิ่งตามไป ศิรสวิ่งกลับมาบอกว่าหาเมืองใจและศิโรตม์ไม่พบ คุณปานและลติกาเดินลงมามองไปรอบๆ ไม่พบทั้งสองจริงๆ
เมืองใจและศิโรตม์หายไปในวงล้อแห่งเวลาด้วยพันธะสัญญาบางอย่างคืนสู่บางระจัน ศิโรตม์และเมืองใจกลับไปบ้านบางระจันท่ามกลางความงุนงงของศิโรตม์ในตอนแรกที่ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น ภาวะสงครามเลือด ความตายที่เห็นต่อหน้าต่อตา ทำให้ศิโรตม์เป็นลมไป เมื่อตื่นมาอีกครั้งที่ทัพของเมืองใจก็ได้พบหนุ่มน้อยคนหนึ่งนั่งมองเขาอย่างฉงนและสนใจ ต่อมาการต่อปากต่อคำทำให้ศิโรตม์รู้ว่าแท้ที่จริงเธอเป็นผู้หญิงแก่นแก้ว ห้าวหาญเหมือนเด็กผู้ชายชื่อจันกะพ้อ จันกะพ้อถามเมืองใจว่าคนแปลกหน้าท่าทางชอบกลแต่งตัวแปลกผู้นี้คือใคร เมืองใจจึงบอกว่าเป็นชาวสยามด้วยกันที่พบระหว่างเดินทาง แต่จันกะพ้อยังสงสัย ชาวบ้านทั้งหลายเข้ามารุมล้อมดีใจที่เมืองใจกลับมาปลอดภัย และต่างมองศิโรตม์ด้วยสายตาประหลาดใจไม่คุ้นเคย กาหลงรีบวิ่งมาแต่ไกลดีใจนักที่เมืองใจคืนมา ศิโรตม์ตกใจที่พบกาหลงเรียกเธอว่า ตีน่า (ฝนทิพย์ วัชรตระกูล) เมื่อจันกะพ้อบอกว่าไม่ใช่ ศิโรตม์ก็ตกใจ เหตุใดเธอช่างเหมือนลติกายิ่งนัก มิน่าเมืองใจถึงได้ตกใจเมื่อเจอหน้าลติกา แต่คราวนี้เป็นศิโรตม์เองที่ประหลาดใจ ศิโรตม์พบว่าตนเองอยู่ผิดที่ผิดทางและกลายเป็นตัวประหลาดยิ่งกว่าเมื่อตอนที่เมืองใจไปอยู่ในโลกปัจจุบันเสียอีก นายจันหนวดเขี้ยวก็เข้ามาถามถึงสารทุกข์สุขดิบและเกิดอะไรขึ้นบ้าง เมืองใจยอมรับโดยตรงว่าเสียใจที่เอาปืนใหญ่มาไม่สำเร็จเพราะเขาหลงทาง นายทองเหม็น (อรุชา โตสวัสดิ์) หงุดหงิดที่เมืองใจเอาปืนใหญ่มาไม่ได้แต่กลับพาคนแปลกหน้ามา คนที่เชื่อมโยงระหว่างศิโรตม์และภพที่เขาจากมาคือพระอาจารย์ธรรมโชติ ที่บอกเขาเพียงว่า "เขามาเพราะกรรมะ พันธะ สัญญา มาเพื่อได้รู้ได้เห็น แต่เขาไม่อาจเปลี่ยนประวัติศาสตร์ได้และไม่รู้จะได้กลับไปยังช่วงเวลาของเขาเมื่อใด สิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้คือต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวอยู่ในอดีตที่เป็นปัจจุบันของเขาในเวลานี้ ในฐานะไอ้ศรีของคนทั้งหมูบ้านและเทวดาของเมืองใจ"
เมืองใจจึงปรึกษาหารือนายแท่นและนายจันหนวดเขี้ยวเรื่องรับมือกับข้าศึก เมืองใจเสนอให้จัดทัพเข้าสู้เพราะ หากสู้ประชิดตัวแล้วบางระจันไม่แพ้แน่นอน แต่แล้วเมืองใจก็ได้รู้ความเคลื่อนไหวว่าข้าศึกกำลังจะได้ปืนใหญ่ และเมื่อนั้นบางระจันคงรับมือไม่ได้อีกต่อไป จันกะพ้อยังคงไม่ไว้ใจคิดว่าศิโรตม์เป็นสายของทัพอื่นลอบเข้ามาเพื่อทำลายค่ายบางระจัน โชคยังดีที่พระอาจารย์ธรรมโชติให้ศิโรตม์เข้ามาหาเพื่อมอบผ้าประเจียดของแม่ ศิโรตม์ประหลาดใจมากงั้นแสดงว่าพระอาจารย์เป็นอีกคนหนึ่งที่เดินทางมาบางระจัน งั้นต้องมีทางเดินทางกลับไปได้แน่นอน พระอาจารย์บอกศิโรตม์ว่ากรรมพาให้เขาต้องมาทำในสิ่งที่ผูกพันไว้ ศิโรตม์ไม่เข้าใจขอให้พระอาจารย์ช่วยพากลับ เขาไม่ต้องการอยู่ที่นี่ ไม่อยากตายที่นี่ พระอาจารย์ธรรมโชติให้สติว่าคนเราอย่างไรก็หนีกรรมไม่พ้น ทุกคนมีหน้าที่ต้องกระทำ และการกระทำนั่นเองคือเครื่องกำหนดกรรม ศิโรตม์นั่งอยู่คนเดียวริมสระบัวในค่ายบางระจันในเวลาพลบค่ำ เขานึกไม่ออกว่าชีวิตจะเป็นอย่างไร เพราะค่ายบางระจันต้องแตกในไม่ช้าแล้วเขาจะทำอย่างไร จันกะพ้อเดินเข้ามาพูดแหย่ว่าคิดถึงบ้านหรือ ที่บ้านเจ้ามีใครอยู่บ้างเล่า ศิโรตม์จึงเล่าว่าตนมีแม่ มีน้อง และป่านนี้คงจะเป็นห่วงเขาไม่น้อย จันกะพ้อมองหน้าศิโรตม์แล้วพูดว่า "ดีนะที่เจ้ามีแม่ให้ห่วงหา"
กรุงเทพฯ คุณปานทิพย์ค้นพงศาวดารพบว่ากรุงศรีอยุธยาจะเสียกรุงในอีกไม่กี่เดือนนับจากปีที่เมืองใจอยู่ คุณปานทิพย์ใจหายด้วยความเป็นห่วงทั้งศิโรตม์และเมืองใจ เธออยู่ที่นี่จะช่วงลูกทั้งสองได้อย่างไร เธอสวดมนต์ขอให้เมืองใจผู้เป็นลูกชายปลอดภัยแคล้วคลาดจากภัยทั้งปวง ศิโรตม์ได้พบนักรบหลายคนที่เขาเคยแต่ได้ยินชื่อ แต่ครั้งนี้คือตัวจริงที่ยังคงมีชีวิตมีเลือดเนื้อ ศิโรตม์ขนลุกซู่ บุคคลเหล่านี้คือบรรพบุรุษที่ปกป้องแผ่นดินไว้ให้ลูกหลานอย่างเขา ศิโรตม์ซึมซับสายเลือดขอบางระจันไปทุกที ศิโรตม์ได้เห็น นายก้าน (จิรกิตติ์ สุวรรณภาพ) ถูกฟันแขนเกือบขาด ไข้ขึ้นสูง ศิโรตม์คิดว่าเขาจะช่วยได้อย่างไรเพราะแน่ใจว่าลำพังสมุนไพรห้ามเลือดคงไม่สามารถช่วยได้ เขาบอกเจ้าจันกะพ้อว่าแขนเกือบขาดอย่างนี้ต้องเย็บแขนเข้าไว้ด้วยกัน จันกะพ้อตกใจไม่เคยได้ยินมาก่อน เคยรู้แต่เย็บผ้า นี่คนนะจะทำได้อย่างไร ศิโรตม์บอกว่าทำอย่างไรก็ตายเลือดออกแบบนี้ ถ้าจะให้ตัดแขนทิ้ง ก็จะยิ่งทำให้ตายเร็วขึ้น เขาขอรับรองว่านายก้านต้องรอด ศิโรตม์ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองมั่นใจอะไร เอี้ยงพี่สาวนายก้านด่าว่าศิโรตม์ว่าจะทำให้น้องชายตาย คนอื่นๆ ก็เริ่มไม่พอใจ พระอาจารย์เดินมาบอกว่า ดูเขาก่อนการรักษามีหลายวิธีให้ศิโรตม์รักษาแล้วนายก้านจะรอด เอี้ยงจึงสงบลง ถึงกระนั้นศิโรตม์เองก็หนักใจไม่น้อย เพราะเขาไม่ใช่หมอเทวดาจากที่ไหน ศิโรตม์สั่งการขอเข็มเย็บผ้า ด้าย เหล้าโรง เทียน ผ้าสะอาด และอ่างน้ำ เมืองใจมายืนดู เขามั่นใจว่า ศิโรตม์ทำได้แน่นอน
ศิโรตม์เอาเหล้าขาวเช็ดแผล เอาด้ายแช่เหล้าเพื่อฆ่าเชื้อโรค เอาเข็มลนไฟแล้วดึงด้ายมาร้อย เขามือไม้สั่น จับแขนนายก้านให้เข้าที่แล้วค่อยๆ บรรจงเย็บจนเสร็จ เขาเอาผ้าสะอาดพันแขนนายก้านไว้ นายก้านไข้ขึ้นสูง ศิโรตม์เอาน้ำเย็นจากอ่างชุบเช็ดตัวลดไข้ เอี้ยงโวยวายอีกว่าจะฆ่ากันหรือเดี๋ยวตะพ้านกินตาย ศิโรตม์เหลือบมอง เขาขี้เกียจอธิบายแล้ว เขาเช็ดตัวนายก้านไปเรื่อยๆ จนตัวเริ่มเย็นลง เมืองใจบอกว่าขอบใจหมอเทวดา ณ ปัจจุบัน ในระหว่างที่ศิโรตม์ไม่อยู่ ลติกาต้องรับเข้ามาช่วยงานบริษัทศิวะกรุ๊ปอยู่แทนศิโรตม์ เพราะคุณปานทิพย์ ไว้ใจว่าเป็นลูกสาวของหุ้นส่วนในขณะที่คุณปานทิพย์ไม่มีแก่ใจ แต่นั่นทำให้อรรถเริ่มคิดถึงความภักดีที่เขามีมาตลอดเวลาว่ามันไม่ได้ตอบแทนอะไรเขาเลย การยักยอกของอรรถเขาไม่บอกความจริงแม้แต่อรรถวิทย์ลูกชาย ยศสันต์มาดูแลเรื่องงานออกแบบที่ต้องไปเสนอราคาแข่งกับบริษัทอื่น เริ่มสังเกตว่าความลับของบริษัทต้องมีการรั่วไหลจึงแพ้การแข่งขัน บางครั้งก็เรื่องการออกแบบ บางครั้งก็เรื่องราคา จนจับได้ว่าอรรถวิทย์เปิดบริษัท นอมินีเพื่อชิงงาน อรรถขอลาออกเพื่อรับผิดชอบความผิดของลูก แต่แท้จริงทั้งสองคนวางแผนเพื่อฮุบบริษัท ลติกากำลังอยู่ในช่วงระหว่างค้นหาอดีตของตนเองที่เกี่ยวพันกับเมืองใจ เพื่อพยายามล่วงรู้ให้ได้ว่าศิโรตม์ที่หลงอยู่ในยุคบางระจันเป็นเช่นไร และที่สำคัญเมืองใจเป็นเช่นไร ความหวังริบหรี่ที่ลติกาพยายามหาทางช่วยเหลือเมืองใจและศิโรตม์ จนได้ หมอนันทเดช (ภูริ หิรัญพฤกษ์) ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสำกดจิตรำลึกอดีต หมอนันทเดชเป็นหนุ่มสดใสร่าเริงและมีความแปลกกว่าหมอทั่วไป มักขี่จักรยานมาทำงานและไม่ค่อยง้อคนไข้ โดยเฉพาะกับลติกาที่เมื่อแรกพบออกจะไม่ถูกชะตากันบ้าง ศิรสเป็นคนขอให้ลติกาง้อหมอ จนในที่สุดหมอนันทเดชยอมช่วยเหลือการล้วงค้นเข้าภาวะจิตของสลิตา ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็เหมือนเปิดประตูชีวิตล้างปมในหัวใจของหญิงแกร่งปราดเปรียวของลติกามากขึ้นเรื่อยๆ และหมอนันทเดชเองก็เริ่มพึงใจลติกามากขึ้น จนทำให้ยศสันต์แอบหึงหวง กลายเป็นความรักสามเส้ากรายๆ
ถ้าในอดีตกาหลงคือสาวที่ไปหลงรักเมืองใจฝ่ายเดียว ชาตินี้ลติกาก็กลายเป็นสาวที่มีแต่ชายหนุ่มหมายปอง แต่สุดท้ายหัวใจรักมั่นของลติกาก็เพียงแค่กับเมืองใจ ลติกาประสบความสำเร็จในการดำดิ่งลงไปสู่อดีต เห็นเหตุการณ์เป็นระยะๆ จนรู้ว่ากำลังจะเข้าสู่การรบครั้งสุดท้าย หมอนันทเดชเห็นท่าไม่ดีเมื่อลติกาเอาจิตตนเองไปสวมกับจิตของกาหลงในครั้งหลังๆ จนแทบรู้สึกร่วมไปกับกาหลง หมอนันทเดชจึงไม่ยอมให้ลติกาถูกสะกดจิตอีก และเพราะเขาเองก็หลงรักเธอ หมอนันทเดชจึงเลือกที่จะจากไป คุณปานทิพย์ก็เป็นห่วงลติกาและเธอใช้วิธีไปตามหาพระอาจารย์ธรรมโชติ วิงวอนให้นำลูกชายของเธอกลับมา พระอาจารย์ไม่รับปาก เมืองใจซึ่งเพิ่งเสร็จจากการหารือเรื่องศึกกับนายจันหนวดเขี้ยว เดินมาพบเจ้าจันกะพ้อร่ำไห้ไปฟันต้นกล้วยไป เมืองใจรู้ว่าเจ้าจันกะพ้อคิดถึงแม่อีกเช่นเคย เมืองใจจึงเข้าไปปลอบโยนจันกะพ้อบอกว่าหากวันนั้นเธอมีวิชาเก่งกล้าก็คงจะช่วยแม่ไว้ได้ เมืองใจมองตาเจ้าจันด้วยความรักและสงสารจับใจ เจ้าจันมองกลับแต่ดูสับสนมาก เมืองใจบอกให้เจ้าจันอย่าได้เศร้าใจไป สิ่งที่ผ่านไปเราแก้ไขอะไรมิได้ แต่สิ่งที่อยู่ข้างหน้าในวันพรุ่งนี้ชะตาอยู่ที่มือของเรา กาหลงตามหาจันกะพ้อชงักเมื่อเห็นเมืองใจอยู่กับจันกะพ้อ แต่กาหลงตัดใจเข้ากอดเช็ดน้ำตาให้เจ้าจันกะพ้อ ศิโรตม์ตามมามองเห็นภาพของทั้งสามคนตรงหน้า หารู้ไม่ว่าวันข้างหน้าเขาจะเป็นหนึ่งที่จะวนเวียนอยู่ในห้วงรักกับคนทั้งสามนี้ กาหลงพาเจ้าจันกะพ้อเดินกลับไป ศิโรตม์ถามเมืองใจตรงๆ ว่า "มีใจให้จันกะพ้อใช่ไหม ทำไมไม่บอกพูดสิ่งใดให้เจ้าจันกะพ้อรู้" เมืองใจยิ้มเช่นเดิมและกล่าวว่า "ไม่ใช่เวลา"
สนามรบ ศิโรตม์ที่ทำอะไรไม่ถูกในสนามรบ มันไม่เหมือนกับในภาพยนตร์ที่เขาเคยดู เขาเห็นนายทองเหม็นขี่ควายเข้าไล่แทงพม่า นายแท่นรบด้วยดาบสองมือ เมืองใจนำไปก่อนแล้วเป็นทัพหน้า ศิโรตม์ยืนมองเหมือนตกอยู่ในฝันร้าย เขาไม่เคยคิดว่าจะเห็นมนุษย์ที่ไม่เคยรู้จักกันต้องมาไล่ฆ่ากันแบบนี้ เจ้าจันกะพ้อช่วยศิโรตม์ให้หลบลูกธนูได้ทัน พลางดุศิโรตม์เสียงดังว่านี่ไม่ใช่เวลามายืนทำวิปัสสนา ศิโรตม์นึกถึงหน้าที่ขึ้นมาได้ เขาดึงสติกลับมา ศิโรตม์ห้ามไม่ให้เมืองใจบุกเข้าไปลึกกว่านั้นเพราะจะถูกล้อม ด้วยการจัดการของศิโรตม์นักรบบางระจันกำลังใจดี และสู้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย การรบสิ้นสุดลงก่อนเที่ยง ศิโรตม์งงว่าทำไมรบกันแค่นี้ เจ้าจันกะพ้ออธิบายว่าเพราะต่างฝ่ายต่างเหนื่อยและหิวควรกลับไปพักก่อน อีกสองสามวันจึงจะรบใหม่ ศิโรตม์มองหาเมืองใจ โล่งใจที่เห็นว่าเมืองใจปลอดภัยดี ทางฝ่ายบางระจันไม่มีใครเสียชีวิตมีแต่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น ทุกคนโห่ร้องดีใจกับชัยชนะ มีแต่ศิโรตม์ที่รู้สึกแปลกๆ กับการที่คนสองกลุ่มที่ไม่ได้เกลียดกันต้องมาฆ่ากันเช่นนี้ นักรบทั้งหลายพากันเดินกลับเข้าค่าย ชาวบ้านวิ่งมาต้อนรับ คราวที่แล้วตัวเขาวิ่งออกมารับนักรบ แต่คราวนี้เขาเป็นฝ่ายได้รับการต้อนรับเยี่ยงวีรบุรุษ เมืองใจและศิโรตม์ล้างหน้าล้างตาที่ริมน้ำ เมืองใจรู้ว่าท่านศรีสับสน ศิโรตม์บอกว่า "ก็เห็นอยู่ว่าทหารสองฝ่ายไม่ได้กระเหี้ยนกระหือรืออยากฆ่ากัน ไม่เช่นนั้นคงไม่นัดแนะกันหยุดพัก ไว้พร้อมทั้งคู่ค่อยออกมารบใหม่" เมืองใจบอกว่า "นี่คือหน้าที่ต่อแผ่นดิน ต่างคนต่างมีหน้าที่ของตน ต่างคนต่างมีครอบครัวให้คิดเป็นห่วง" ศิโรตม์บอกว่า "ในเมื่อไม่ได้เกลียดกัน ไม่ได้อยากจะฆ่ากัน ถ้าเช่นนั้นทำไมไม่คุยกันด้วยสันติวิธี เจรจาสงบศึกกัน" เมืองใจบอกว่า "เราก็อยากให้เป็นเช่นนั้น" ศิโรตม์ถามพระอาจารย์ธรรมโชติว่าให้เขามาที่นี่เพื่อมาเห็นค่ายแตกหรือ เขาทำอะไรไม่ได้เลยหรือถ้ารู้ว่าแพ้ก็อย่าสู้เลยดีกว่า บอกให้ชาวบ้านหนีไปดีกว่า พระอาจารย์บอกศิโรตม์ว่าทุกอย่างมีกรรมะเป็นเครื่องตัดสิน และทุกอย่างในจักรวาลล้วนเป็นเหตุเป็นผลกันทั้งสิ้น แค่นี้จะยอมแพ้เสียแล้ว ไม่อายบรรพบุรุษหรือ แล้วพระอาจารย์ก็พาศิโรตม์เดินออกไปที่ลาน เมืองใจและนายแท่นกำลังฝึกดาบสองมือกันอยู่ ทำให้ศิโรตม์เกิดแรงฮึดสู้ขึ้นมาใหม่
ศิโรตม์บอกเมืองใจว่า "ข้าศึกมีอาวุธที่ดี แม้บางระจันมีนักรบที่เก่งกล้าแต่เราอาจสู้ศึกไม่ได้" เขาพยายามบอกให้เจ้าจันกะพ้อและทุกคนไปอยู่กับพระยาตากจะได้รอด เจ้าจันกะพ้อบอกว่า "ไม่" ศิโรตม์บอกว่า "จะสู้ทำไม เพราะแม้จะสู้อย่างไรก็แพ้แน่นอน ขอให้เจ้าจันกะพ้อเชื่อใจเขา" เจ้าจันกะพ้อโวยว่า "ศิโรตม์คิดเช่นนี้ได้อย่างไร เราจะล่วงรู้วันพรุ่งนี้ได้อย่างไร แล้วเธอก็ตัดสินใจไปแล้วว่าจะสู้ไม่ถอยอย่างแน่นอน ตราบใดที่คนบางระจันจะสู้ เธอหักหลังพวกเขาไม่ได้ แล้วศิโรตม์เองก็เคยพูดว่าสตรีก็เท่าเทียมกับชาย เธอจึงจะขอรบเคียงบ่าเคียงไหล่เพื่อรักษาบ้านไว้ด้วยไม่ได้เชียวหรือ" ศิโรตม์มองด้วยความเป็นห่วงเจ้าจันกะพ้อแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะรู้ว่าอย่างไรเจ้าจันก็ไม่มีวันยอมอย่างแน่นอน ริมบึงบัว ศิโรตม์เครียดและท้อ เขาตะโกนเสียงดังเพื่อระบายอารมณ์ เงยหน้ามาพบพระอาจารย์ธรรมโชติ พระอาจารย์ให้ตั้งสติให้มั่น ศิโรตม์ขอให้พระอาจารย์ช่วยนายแท่นด้วย ไม่อย่างนั้นบางระจันคงไม่มีทางชนะได้ พระอาจารย์เตือนสติว่า บางระจันเคยมีจุดจบที่ศิโรตม์เองก็รู้อยู่แล้ว ศิโรตม์คร่ำครวญว่าให้เขามาทำไม ให้มาเห็นผู้คนล้มตาย พ่ายแพ้ โดยช่วยอะไรไม่ได้งั้นหรือ พระอาจารย์ตอบว่า "กรรมะมีทางของมัน ศิโรตม์ได้ช่วยแล้วได้บรรเทาแล้วและจะได้ทำอีกต่อไปในภาคหน้า" ศิโรตม์ไม่เข้าใจ เขาเสียใจและท้อแท้ ศิโรตม์เปิดเผยกับเมืองใจว่า "ตนเองไม่ใช่เทวดา ไม่สามารถบันดาลอะไรให้ได้" แล้วเขาก็พบว่าทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่า ถึงรบอย่างไรก็ไม่มีทางชนะ เมืองใจกล่าวว่า "แต่แม้จะรู้ว่าแพ้ เขาก็ยังคงต้องสู้ต่อไป เพราะนี่คือหน้าที่ที่สำคัญ ทุกคนต้องสู้เพื่อชาติ บ้านเมืองของตน"
ที่โลกปัจจุบัน บริษัท ศิวะกรุ๊ป เป็นบริษัทรับจัดงาน ที่คุณศิวะ สามีที่เสียชีวิตไปแล้วของ ปานทิพย์ (เดือนเต็ม สาลิตุล) เป็นผู้ก่อตั้งขึ้น โดยภายหลังมีคุณปานทิพย์ทำหน้าที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ มีคุณปรางทองน้องสาวร่วมถือหุ้นด้วยจำนวนหนึ่ง และต่อมาการขยายหุ้นลงทุนบริษัทเพิ่มก็ได้ คุณก้องเกียรติ (สมิท ธนโชติ) เพื่อนของคุณศิวะ ที่คุ้นเคยกับคุณปานทิพย์เป็นอย่างดีมาซื้อหุ้นเพิ่มโดยมีคุณปานทิพย์เป็นหุ้นใหญ่ คุณปานทิพย์เคยเป็นผู้บริหารต่อมาด้วยวัยและใจมาทางธรรมมากขึ้นก็ปล่อยให้คนสนิทคือ คุณอรรถ (ปราบ ยุทธพิชัย) และลูกชาย อรรถวิทย์ (ภาณุ สุวรรณโณ) เป็นผู้บริหาร และให้ศิโรตม์ที่เพิ่งกลับจากเมืองนอกมาเป็นประธานบริหาร ศิโรตม์เป็นหนุ่มหล่อ ลูกชายคนโตของเจ้าของบริษัทรับจัดงานรายใหญ่ ศิวะกรุ๊ปเพิ่งกลับมาจากเมืองนอกเนื่องจากผู้เป็นพ่อถึงแก่กรรม ศิโรตม์ใช้ชีวิตอย่างชายหนุ่มเจ้าสำราญไม่สนใจการงาน เพราะไม่ค่อยพอใจอรรถวิทย์ซึ่งทำงานดูแลบริษัทอยู่ตั้งแต่ช่วงที่ศิโรตม์อยู่เมืองนอก ศิโรตม์อยากจะปรับบริษัทให้ทันสมัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งอยากให้บริษัทมีผลงานทันสมัย ไม่ใช่เชยๆ อย่างที่อรรถวิทย์ทำมา
วันงานแถลงข่าวงานแสงสีเสียงมีนักข่าวและแขกมากันเต็ม ศิโรตม์แสดงออกถึงความไม่พอใจในความคิดและการทำงานของอรรถวิทย์ ส่วน ลติกา (ฝนทิพย์ วัชรตระกูล) ก็มาร่วมแสดงบนเวทีอย่างสวยงาม แม้ว่าจะขัดใจตนเองไม่น้อย เพราะลติกาเป็นศิลปินชอบวาดรูปมากกว่าการแสดงตัวอย่างนี้ ศิโรตม์มองการณ์ไกลจึงขอให้เพื่อนคือ ยศสันต์ (ธัญวิชญ์ เจนอักษร) มาช่วยเรื่องของการออกแบบ ยิ่งทำให้อรรถวิทย์ไม่พอใจ คุณปานทิพย์ผู้มารดาเตือนศิโรตม์ให้ใส่ใจการทำงาน เพราะศิโรตม์ควรต้องเข้ามาบริหารบริษัทต่อไป ไม่ควรเพียงมาติการทำงาน แต่ควรร่วมให้ความคิดและร่วมทำงานพร้อมกับทีมงานตั้งแต่เริ่มต้น ศิโรตม์ยอมเดินทางไปวัดมเหยงค์ อยุธยาเพื่อไปดูสถานที่ที่จะจัดงานแสงสีเสียงใหญ่ตอนปลายปี โดยมี ปรางทอง (มัณฑนา หิมะทองคำ) น้าสาว และอรรถวิทย์ไปดูสถานที่ด้วย ระหว่างกำลังดูสถานที่ศิโรตม์ได้ยินเสียงดาบปะทะกัน ได้ยินเสียงผู้คนโห่ร้อง เขาไม่รู้ว่านี่คือเสียงอะไร จึงเลี่ยงจากกลุ่มเพื่อออกตามหาที่มาของเสียงนั้น ฝนตกหนัก ฟ้าฝนมืดดำ ศิโรตม์พบชายผู้หนึ่งนอนฟุบอยู่ในบริเวณวัด ดูท่าน่าจะเป็นนักแสดงแสงสีเสียงเพราะแต่งกายเหมือนนักรบโบราณ ศิโรตม์ปลุกให้ชายผู้นี้ตื่นขึ้น เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับความงุนงง ศิโรตม์พยายามซักถามก็ได้ความว่าชื่อเมืองใจ แต่เมืองใจพูดจาด้วยภาษาแปลกพร่ำพูดถึงแต่การรบข้าศึกที่กำลังบุกและเขาต้องการปืนใหญ่ไปสู้ศึก เมืองใจถามว่า "เหตุใดวัดมเหยงค์จึงถูกทำลายเช่นนี้ ศิโรตม์ก็พลอยงงๆ เพราะวัดก็เก่าโบราณเป็นซากปรักหักพังอย่างนี้มานานแล้ว ศิโรตม์พยายามจะลาจากไปเพราะเขาต้องกลับไปสมทบกับทีมงาน แต่ด้วยความรู้สึกบางอย่างลึกๆ ศิโรตม์รู้สึกเป็นห่วงชายแปลกหน้าผู้นี้ เขาคงเป็นโรคความจำเสื่อม ศิโรตม์จึงชวนเมืองใจขึ้นรถพากลับบ้านที่กรุงเทพฯ เมืองใจยอมขึ้นเกวียนยนต์ เขาแปลกใจกับสิ่งต่างๆ เขาไม่รู้จักรถยนต์ ไม่รู้จักโทรศัพท์ ไม่รู้จักอะไรนอกจากบางระจันและอโยธยา
ส่วนปรางทองที่กำลังเดินดูสถานที่ก็แปลกใจที่อยู่ๆ หลานชายก็หายไป เพราะเธอนัดลติกาสาวสวย ลูกสาวผู้ถือหุ้นใหญ่ให้มาดูสถานที่ด้วย แต่ที่จริงเธออยากให้ลติกาได้มาสนิทสนมกับศิโรตม์ ลติกาเมื่อขับรถมาถึงวัดมเหยงค์เธอก็รู้สึกแปลกๆ และยังได้ยินเสียงประดาบ เสียงคนสู้รบกัน เธอไม่รู้ว่านี่คือเสียงอะไร ลติกามึนงงเพราะระยะนี้เธอรู้สึกอะไรแปลกๆ เธอแว่บๆ เห็นภาพชายผู้หนึ่งอยู่เสมอ เธอไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เหตุใดเธอจึงเห็นเขาอยู่บ่อยๆ แต่วันนี้เธอได้พบแต่อรรถวิทย์ เธอไม่ได้พบศิโรตม์ เมืองใจตื่นตาตื่นใจและตื่นตระหนกกับสิ่งต่างๆที่เขาไม่คุ้นเคย เขาเข้าใจว่าเขาพลัดหลงมาอยู่สวรรค์และคิดว่าศิโรตม์ก็คือเทวดา เมืองใจจึงเรียกศิโรตม์ว่า ท่านศรี (ภัทรเดช สงวนความดี) และหวังว่าท่านศรีจะพาเขาไปหาปืนใหญ่และสามารถนำกลับไปสู้ศึกได้ คุณปานทิพย์มารดาของศิโรตม์ เดินทางไปทำบุญที่วัดเขานางบวชและได้พบกับพระรูปหนึ่งท่าทางน่าเลื่อมใส ท่านบอกว่าท่านชื่อพระวิจิตรธรรมโชติ และกล่าวว่า "ฝากลูกศิษย์ที่จะไปที่บ้านและท่านจะตามไปเยี่ยมลูกศิษย์ของท่านด้วย" ศิโรตม์พาเมืองใจกลับมาถึงบ้านพบ ศิรส (ตรีวรัตถ์ ชุติวัฒน์ขจรชัย) น้องชาย ศิรสสงสัยในคำพูดและท่าทางแปลกของเมืองใจ ศิรสตั้งข้อสงสัยว่าเมืองใจน่าจะมาจากอีกมิติหนึ่ง เมืองใจวุ่นวายใจจนเมื่อได้พบกับคุณปานทิพย์เขาตกใจ แล้วก้มลงกราบแทบเท้า พร้อมทั้งเรียกคุณปานทิพย์ว่าท่านแม่ คุณปานทิพย์เองก็รู้สึกผูกพันกับชายหนุ่มแปลกหน้าผู้นี้อย่างประหลาด เธอฉุกใจคิดว่านี่คือลูกศิษย์พระอาจารย์ธรรมโชติเป็นแน่ แต่เมืองใจคือใคร ยิ่งได้เห็นดาบที่เมืองใจถือมา เมื่อมาเทียบกับดาบโบราณที่อยู่ที่บ้านมายาวนาน ดาบทั้งสองนั้นเหมือนกันราวกับเป็นดาบคู่ศึก เมืองใจย่อมมิใช่คนธรรมดา คุณปานทิพย์ซักถามว่าเมืองใจจะเข้าไปทำอะไรที่อโยธยา เมืองใจก็ตอบว่าไปขอปืนใหญ่มาช่วยชาวค่ายบางระจัน และเมื่อถามถึงปีที่เมืองใจจากมาเมืองใจตอบ เดือนห้า ปีระกา สัปตศก นั่นคือ ปีระกา นั่นคือพุทธศักราช 2308 ทุกคนถึงกับนิ่งอึ้ง จะปักใจเชื่อได้หรือไม่ว่าบุคคลตรงหน้าคือบรรพบุรุษแต่เก่าก่อน
คืนนั้นกว่าจะได้เข้านอนศิโรตม์ต้องดูเมืองใจสวดมนต์ร่ายพระเวทย์หลายอย่าง ศิรสกลับถูกคอและเข้าใจเมืองใจกว่าศิโรตม์ เมืองใจเชื่อมั่นว่าเขาอยู่บนสวรรค์ เทวดาจะบันดาลปืนใหญ่กลับไปให้ แล้วค่ายบางระจันก็จะชนะ ศิโรตม์และศิรสมองตากันและพยายามที่จะไม่พูดเรื่องบางระจันแตก ส่วนคุณปานทิพย์ค้นพงศาวดารเพื่อหาร่องรอยของเมืองใจ เธอกลับพบชื่อของพระอาจารย์ธรรมโชติแทน ในพงศาวดารกล่าวเพียงว่าพระอาจารย์หายไปจากค่ายหลังค่ายแตกแต่ไม่มีใครพบเห็น ปานทิพย์ค่อนข้างมั่นใจว่าพระอาจารย์วิจิตรธรรมโชติ กับพระอาจารย์ธรรมโชติ ในค่ายบางระจันน่าจะเป็นพระรูปเดียวกัน ขณะที่ศิโรตม์นอนหลับเมืองใจกลับหลับไม่ลง เขามองพระจันทร์พลางหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่ชาวบ้านต่างได้รับบาดเจ็บจากการออกไปรบ และเขาเห็นหน้านวลน้อยๆ ของจันกะพ้อ กรุงเทพฯ ในเช้าวันรุ่งขึ้น เมืองใจให้ศิรสลองใช้เสียมตีเพื่อแสดงวิชาคงกะพันให้ดู รอยสักน้ำมันเรืองรองขึ้นจากผิวของเมืองใจ ศิรสเริ่มมั่นใจว่าเมืองใจข้ามพ้นอดีตมาสู่ปัจจุบัน แต่ปรางทองน้าสาวได้มาเห็นตอนช่วงที่ศิรสกำลังตีเมืองใจ ด้วยความที่ไม่รู้จึงสร้างความตกอกตกใจไม่น้อย วันรุ่งขึ้นปรางทองพาลติกามาร่วมถวายเพลพระวิจิตรธรรมโชติ ลติกาออกมาที่ริมน้ำกับศิโรตม์ทั้งสองคนต่างรู้ว่าผู้ใหญ่กำลังจับคู่ให้ ศิโรตม์ก็ถามตรงๆ ว่าลติกาต้องการอะไรจากเขา ลติกาเองก็บอกว่าเธอเองมางานวันนี้เพราะถ้าเธอมาก็จะได้เปิดงานแสดงภาพที่บ้านได้ พ่อแม่อยากให้เธอมาทำความรู้จักกับศิโรตม์ไว้ แต่เธอไม่เห็นด้วยและไม่ได้คิดอะไรอื่นทั้งนั้น ศิโรตม์เองก็บอกว่าเขาเองก็ต้องทำงานดูแลบริษัทและน้าสาวก็สั่งให้มาดูแลลติกาเหมือนกัน ทั้งสองเริ่มเข้าใจสถานการณ์ทั้งคู่ดี ศิโรตม์คิดอะไรดีๆ ได้ ในเมื่อทั้งสองคนต่างก็มีผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ทำไมเราเองไม่พยายามจะปรับตัวเข้าหากันแทน เรื่องจะได้ดีต่อทั้งสองฝ่าย เราก็มาลองคบกันไปเลย ลติกาว่าทำไมมองความรักเป็นเรื่องง่ายดาย แต่แล้วลติกาจึงได้พบกับเมืองใจ เธอตกใจที่ชายผู้นี้มีหน้าตาละม้ายชายที่เธอฝันถึง เธอซักถามศิโรตม์ว่าเขาคือใคร เพราะเธอไม่เชื่อว่าเขาคือนักแสดงจากต่างประเทศตามที่ศิโรตม์บอก เมื่อพระอาจารย์มาถึงเมืองใจอึ้งไปเมื่อพบว่าท่านคือพระอาจารย์ธรรมโชติ พระอาจารย์ของชาวบางระจัน พระอาจารย์พูดเป็นนัยๆ กับเมืองใจ และท่านยังเสกข้าวทิพย์ให้ศิโรตม์ ทันที่ที่ศิโรตม์เคี้ยวข้าวทิพย์เขาเห็นภาพการสู้รบที่เขาไม่เข้าใจว่าคืออะไร ส่วนคุณปานทิพย์นั้นพระอาจารย์เนรมิตร พระเม็ดน้อยหน่าองค์น้อยให้ ซึ่งน่าแปลกที่ปานทิพย์สามารถอธิบายได้ราวกับคุ้นมานาน
ที่บางระจันนายจันหนวดเขี้ยวนำศพนายเกิดนายคงกลับมา กาหลงเศร้าเสียใจไม่เป็นอันทำสิ่งใดเพราะเป็นห่วงเมืองใจที่หายเงียบไปไม่รู้จะเป็นตายร้ายดี ขณะเดียวกันมีชาวบ้านอพยพมาที่ค่ายบางระจันเพิ่มมากขึ้นอีก รวมถึง ปล้อง เฟื่องแฟง สามพี่น้องที่ร่ำลือกันถึงความเก่งกล้าในการสู้รบ จันกะพ้อดีใจยิ่งนัก ทั้งสามคือเยี่ยงอย่างที่เธอจะดำเนินรอยตาม จันกะพ้อจึงมุ่งฝึกดาบกับนายแท่นด้วยหวังว่าจะได้ไปช่วยออกรบและตามหาเมืองใจ ศิโรตม์เริ่มเชื่อว่าเมืองใจเป็นคนมาจากบางระจัน แต่เขาข้ามมาอยู่ในยุคนี้ได้อย่างไรนั้นไม่มีใครมีคำตอบ ศิโรตม์คิดว่าหากเมืองใจกลับไปบางระจัน เมืองใจก็ย่อมต้องตายไปพร้อมกับชาวบ้านบางระจัน เขาจึงจะพยายามจะให้เมืองใจรู้จักโลกยุคนี้ แต่เมืองใจนั้นไม่สนใจสิ่งใดนอกจากปืนใหญ่ ศิโรตม์พาเมืองใจไปยิงปืนเมืองใจลองยิง สามารถยิงได้แม่นยำ แต่ก็ยังยืนยันว่ากระสุนเล็กเท่านี้ทำอะไรข้าศึกไม่ได้ต้องปืนใหญ่เท่านั้น ศิโรตม์จึงพาเมืองใจไปกระทรวงกลาโหม ซึ่งเมื่อเมืองใจเห็นปืนใหญ่ก็ดีใจมาก ศิโรตม์พาเมืองใจเข้าไปใกล้ เมืองใจสัมผัสปืนใหญ่ บอกว่าการเดินทางของเขาในที่สุดก็สำเร็จแล้ว เมืองใจเอ่ยปากขอปืนใหญ่กับศิโรตม์ ทำให้ศิโรตม์หนักใจเพราะไม่สามารถให้ได้ เมืองใจไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงให้มิได้ ทั้งมีปืนใหญ่เรียงรายอยู่มากมาย เมื่อไม่ได้ปืนใหญ่ดังใจหวังเมืองใจก็อยากกลับบางระจันเพราะเป็นห่วงสถานการณ์ที่ค่าย ศิโรตม์ถามว่าอยู่ที่นี่ปลอดภัยกว่าจะกลับไปทำไม เมืองใจตอบว่า "เขาจะอยู่สุขสบายและทิ้งให้เพื่อนชาวบางระจันลำบาก ต้องสู้รบกันโดยไม่มีเขาไม่ได้" ศิโรตม์บอกว่า "บางระจันหรือจะสู้ข้าศึกได้" เมืองใจกล่าวว่า "ไม่ว่าจะสู้ได้หรือไม่ได้ ขอได้เพียงได้ทำหน้าที่เพื่อแผ่นดิน เพื่อคนที่เรารักจนถึงนาทีสุดท้ายที่สิ้นลม ชีวิตที่เกิดมาก็นับว่ามีค่าที่สุดแล้ว"
ลติกาเริ่มฝันเห็นภาพกาหลงพูดกับจันกะพ้อ ลติกาวาดรูปจันกะพ้อ ลติกาขโมยเมืองใจออกไปเที่ยวด้วยความหวังว่าจะช่วยให้เมืองใจมีความสุขขึ้น เมืองใจอาจตื่นเต้นกับสวรรค์ที่แปลกตาแต่ไม่มีความสุข ลติกาพาเมืองใจมาห้องจัดแสดงภาพของตนเองและเปิดภาพจันกะพ้อ เมืองใจฉงน ลติกาพยายามซักว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร นานวันเมืองใจทนรออยู่ไม่ไหวจึงหนีออกจากบ้านของศิโรตม์ ติดรถคนที่ตนเองช่วยขนผักขึ้นรถมาส่งหน้ากระทรวงกลาโหม หวังจะนำปืนใหญ่ไป แต่เมื่อยกไม่ขึ้นก็นั่งอยู่ที่นั่น ทางบ้านคุณปานทิพย์ ศิโรตม์ ศิรส และลติกาพากันตกใจที่เมืองใจหายไป ศิโรตม์เดาได้จึงมาตามเมืองใจที่หน้ากระทรวงฯ หว่านล้อมให้กลับเพราะจะทำให้ท่านแม่เป็นห่วง เมืองใจจึงยอมกลับ คุณปานทิพย์จึงได้มอบดาบเล่มที่อยู่ที่บ้านให้เมืองใจ บอกว่าดาบนี้เป็นดาบคู่ศึก เมื่อดาบทั้งสองได้มาพบกันสมควรที่จะได้อยู่คู่กันดังเดิม เมืองใจรับดาบมาด้วยความซาบซึ้งใจ คุณปานทิพย์เห็นความทุกข์ของเมืองใจก็นึกขึ้นได้ว่าน่าจะพาเมืองใจไปพบพระอาจารย์ธรรมโชติ ท่านคงจะให้คำตอบได้ทั้งหมด ศิโรตม์พร้อมด้วยคุณปานทิพย์ ลติกา จึงขับรถพาเมืองใจไปวัดเขานางบวช ก่อนไปเมืองใจคว้าดาบคู่ออกจากบ้านมาด้วย ระหว่างทางฟ้าฝนเริ่มมืดครึ้ม ฝนเทลงมาอย่างหนักมีกิ่งไม้หล่นลงมาแขวงทาง ทั้งศิโรมต์และเมืองใจลงจากรถไปลากกิ่งไม้ออกไป เห็นทั้งสองหิ้วกิ่งไม้ไปไหวๆ แล้วกิ่งไม้ก็ร่วงลงแต่คนหายไป ปานทิพย์อยู่ในรถเป็นห่วงทำไมหายไปนาน ฝนกลับซาลงอย่างรวดเร็วศิรสออกจากรถวิ่งตามไป ศิรสวิ่งกลับมาบอกว่าหาเมืองใจและศิโรตม์ไม่พบ คุณปานและลติกาเดินลงมามองไปรอบๆ ไม่พบทั้งสองจริงๆ
เมืองใจและศิโรตม์หายไปในวงล้อแห่งเวลาด้วยพันธะสัญญาบางอย่างคืนสู่บางระจัน ศิโรตม์และเมืองใจกลับไปบ้านบางระจันท่ามกลางความงุนงงของศิโรตม์ในตอนแรกที่ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น ภาวะสงครามเลือด ความตายที่เห็นต่อหน้าต่อตา ทำให้ศิโรตม์เป็นลมไป เมื่อตื่นมาอีกครั้งที่ทัพของเมืองใจก็ได้พบหนุ่มน้อยคนหนึ่งนั่งมองเขาอย่างฉงนและสนใจ ต่อมาการต่อปากต่อคำทำให้ศิโรตม์รู้ว่าแท้ที่จริงเธอเป็นผู้หญิงแก่นแก้ว ห้าวหาญเหมือนเด็กผู้ชายชื่อจันกะพ้อ จันกะพ้อถามเมืองใจว่าคนแปลกหน้าท่าทางชอบกลแต่งตัวแปลกผู้นี้คือใคร เมืองใจจึงบอกว่าเป็นชาวสยามด้วยกันที่พบระหว่างเดินทาง แต่จันกะพ้อยังสงสัย ชาวบ้านทั้งหลายเข้ามารุมล้อมดีใจที่เมืองใจกลับมาปลอดภัย และต่างมองศิโรตม์ด้วยสายตาประหลาดใจไม่คุ้นเคย กาหลงรีบวิ่งมาแต่ไกลดีใจนักที่เมืองใจคืนมา ศิโรตม์ตกใจที่พบกาหลงเรียกเธอว่า ตีน่า (ฝนทิพย์ วัชรตระกูล) เมื่อจันกะพ้อบอกว่าไม่ใช่ ศิโรตม์ก็ตกใจ เหตุใดเธอช่างเหมือนลติกายิ่งนัก มิน่าเมืองใจถึงได้ตกใจเมื่อเจอหน้าลติกา แต่คราวนี้เป็นศิโรตม์เองที่ประหลาดใจ ศิโรตม์พบว่าตนเองอยู่ผิดที่ผิดทางและกลายเป็นตัวประหลาดยิ่งกว่าเมื่อตอนที่เมืองใจไปอยู่ในโลกปัจจุบันเสียอีก นายจันหนวดเขี้ยวก็เข้ามาถามถึงสารทุกข์สุขดิบและเกิดอะไรขึ้นบ้าง เมืองใจยอมรับโดยตรงว่าเสียใจที่เอาปืนใหญ่มาไม่สำเร็จเพราะเขาหลงทาง นายทองเหม็น (อรุชา โตสวัสดิ์) หงุดหงิดที่เมืองใจเอาปืนใหญ่มาไม่ได้แต่กลับพาคนแปลกหน้ามา คนที่เชื่อมโยงระหว่างศิโรตม์และภพที่เขาจากมาคือพระอาจารย์ธรรมโชติ ที่บอกเขาเพียงว่า "เขามาเพราะกรรมะ พันธะ สัญญา มาเพื่อได้รู้ได้เห็น แต่เขาไม่อาจเปลี่ยนประวัติศาสตร์ได้และไม่รู้จะได้กลับไปยังช่วงเวลาของเขาเมื่อใด สิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้คือต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวอยู่ในอดีตที่เป็นปัจจุบันของเขาในเวลานี้ ในฐานะไอ้ศรีของคนทั้งหมูบ้านและเทวดาของเมืองใจ"
เมืองใจจึงปรึกษาหารือนายแท่นและนายจันหนวดเขี้ยวเรื่องรับมือกับข้าศึก เมืองใจเสนอให้จัดทัพเข้าสู้เพราะ หากสู้ประชิดตัวแล้วบางระจันไม่แพ้แน่นอน แต่แล้วเมืองใจก็ได้รู้ความเคลื่อนไหวว่าข้าศึกกำลังจะได้ปืนใหญ่ และเมื่อนั้นบางระจันคงรับมือไม่ได้อีกต่อไป จันกะพ้อยังคงไม่ไว้ใจคิดว่าศิโรตม์เป็นสายของทัพอื่นลอบเข้ามาเพื่อทำลายค่ายบางระจัน โชคยังดีที่พระอาจารย์ธรรมโชติให้ศิโรตม์เข้ามาหาเพื่อมอบผ้าประเจียดของแม่ ศิโรตม์ประหลาดใจมากงั้นแสดงว่าพระอาจารย์เป็นอีกคนหนึ่งที่เดินทางมาบางระจัน งั้นต้องมีทางเดินทางกลับไปได้แน่นอน พระอาจารย์บอกศิโรตม์ว่ากรรมพาให้เขาต้องมาทำในสิ่งที่ผูกพันไว้ ศิโรตม์ไม่เข้าใจขอให้พระอาจารย์ช่วยพากลับ เขาไม่ต้องการอยู่ที่นี่ ไม่อยากตายที่นี่ พระอาจารย์ธรรมโชติให้สติว่าคนเราอย่างไรก็หนีกรรมไม่พ้น ทุกคนมีหน้าที่ต้องกระทำ และการกระทำนั่นเองคือเครื่องกำหนดกรรม ศิโรตม์นั่งอยู่คนเดียวริมสระบัวในค่ายบางระจันในเวลาพลบค่ำ เขานึกไม่ออกว่าชีวิตจะเป็นอย่างไร เพราะค่ายบางระจันต้องแตกในไม่ช้าแล้วเขาจะทำอย่างไร จันกะพ้อเดินเข้ามาพูดแหย่ว่าคิดถึงบ้านหรือ ที่บ้านเจ้ามีใครอยู่บ้างเล่า ศิโรตม์จึงเล่าว่าตนมีแม่ มีน้อง และป่านนี้คงจะเป็นห่วงเขาไม่น้อย จันกะพ้อมองหน้าศิโรตม์แล้วพูดว่า "ดีนะที่เจ้ามีแม่ให้ห่วงหา"
กรุงเทพฯ คุณปานทิพย์ค้นพงศาวดารพบว่ากรุงศรีอยุธยาจะเสียกรุงในอีกไม่กี่เดือนนับจากปีที่เมืองใจอยู่ คุณปานทิพย์ใจหายด้วยความเป็นห่วงทั้งศิโรตม์และเมืองใจ เธออยู่ที่นี่จะช่วงลูกทั้งสองได้อย่างไร เธอสวดมนต์ขอให้เมืองใจผู้เป็นลูกชายปลอดภัยแคล้วคลาดจากภัยทั้งปวง ศิโรตม์ได้พบนักรบหลายคนที่เขาเคยแต่ได้ยินชื่อ แต่ครั้งนี้คือตัวจริงที่ยังคงมีชีวิตมีเลือดเนื้อ ศิโรตม์ขนลุกซู่ บุคคลเหล่านี้คือบรรพบุรุษที่ปกป้องแผ่นดินไว้ให้ลูกหลานอย่างเขา ศิโรตม์ซึมซับสายเลือดขอบางระจันไปทุกที ศิโรตม์ได้เห็น นายก้าน (จิรกิตติ์ สุวรรณภาพ) ถูกฟันแขนเกือบขาด ไข้ขึ้นสูง ศิโรตม์คิดว่าเขาจะช่วยได้อย่างไรเพราะแน่ใจว่าลำพังสมุนไพรห้ามเลือดคงไม่สามารถช่วยได้ เขาบอกเจ้าจันกะพ้อว่าแขนเกือบขาดอย่างนี้ต้องเย็บแขนเข้าไว้ด้วยกัน จันกะพ้อตกใจไม่เคยได้ยินมาก่อน เคยรู้แต่เย็บผ้า นี่คนนะจะทำได้อย่างไร ศิโรตม์บอกว่าทำอย่างไรก็ตายเลือดออกแบบนี้ ถ้าจะให้ตัดแขนทิ้ง ก็จะยิ่งทำให้ตายเร็วขึ้น เขาขอรับรองว่านายก้านต้องรอด ศิโรตม์ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองมั่นใจอะไร เอี้ยงพี่สาวนายก้านด่าว่าศิโรตม์ว่าจะทำให้น้องชายตาย คนอื่นๆ ก็เริ่มไม่พอใจ พระอาจารย์เดินมาบอกว่า ดูเขาก่อนการรักษามีหลายวิธีให้ศิโรตม์รักษาแล้วนายก้านจะรอด เอี้ยงจึงสงบลง ถึงกระนั้นศิโรตม์เองก็หนักใจไม่น้อย เพราะเขาไม่ใช่หมอเทวดาจากที่ไหน ศิโรตม์สั่งการขอเข็มเย็บผ้า ด้าย เหล้าโรง เทียน ผ้าสะอาด และอ่างน้ำ เมืองใจมายืนดู เขามั่นใจว่า ศิโรตม์ทำได้แน่นอน
ศิโรตม์เอาเหล้าขาวเช็ดแผล เอาด้ายแช่เหล้าเพื่อฆ่าเชื้อโรค เอาเข็มลนไฟแล้วดึงด้ายมาร้อย เขามือไม้สั่น จับแขนนายก้านให้เข้าที่แล้วค่อยๆ บรรจงเย็บจนเสร็จ เขาเอาผ้าสะอาดพันแขนนายก้านไว้ นายก้านไข้ขึ้นสูง ศิโรตม์เอาน้ำเย็นจากอ่างชุบเช็ดตัวลดไข้ เอี้ยงโวยวายอีกว่าจะฆ่ากันหรือเดี๋ยวตะพ้านกินตาย ศิโรตม์เหลือบมอง เขาขี้เกียจอธิบายแล้ว เขาเช็ดตัวนายก้านไปเรื่อยๆ จนตัวเริ่มเย็นลง เมืองใจบอกว่าขอบใจหมอเทวดา ณ ปัจจุบัน ในระหว่างที่ศิโรตม์ไม่อยู่ ลติกาต้องรับเข้ามาช่วยงานบริษัทศิวะกรุ๊ปอยู่แทนศิโรตม์ เพราะคุณปานทิพย์ ไว้ใจว่าเป็นลูกสาวของหุ้นส่วนในขณะที่คุณปานทิพย์ไม่มีแก่ใจ แต่นั่นทำให้อรรถเริ่มคิดถึงความภักดีที่เขามีมาตลอดเวลาว่ามันไม่ได้ตอบแทนอะไรเขาเลย การยักยอกของอรรถเขาไม่บอกความจริงแม้แต่อรรถวิทย์ลูกชาย ยศสันต์มาดูแลเรื่องงานออกแบบที่ต้องไปเสนอราคาแข่งกับบริษัทอื่น เริ่มสังเกตว่าความลับของบริษัทต้องมีการรั่วไหลจึงแพ้การแข่งขัน บางครั้งก็เรื่องการออกแบบ บางครั้งก็เรื่องราคา จนจับได้ว่าอรรถวิทย์เปิดบริษัท นอมินีเพื่อชิงงาน อรรถขอลาออกเพื่อรับผิดชอบความผิดของลูก แต่แท้จริงทั้งสองคนวางแผนเพื่อฮุบบริษัท ลติกากำลังอยู่ในช่วงระหว่างค้นหาอดีตของตนเองที่เกี่ยวพันกับเมืองใจ เพื่อพยายามล่วงรู้ให้ได้ว่าศิโรตม์ที่หลงอยู่ในยุคบางระจันเป็นเช่นไร และที่สำคัญเมืองใจเป็นเช่นไร ความหวังริบหรี่ที่ลติกาพยายามหาทางช่วยเหลือเมืองใจและศิโรตม์ จนได้ หมอนันทเดช (ภูริ หิรัญพฤกษ์) ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสำกดจิตรำลึกอดีต หมอนันทเดชเป็นหนุ่มสดใสร่าเริงและมีความแปลกกว่าหมอทั่วไป มักขี่จักรยานมาทำงานและไม่ค่อยง้อคนไข้ โดยเฉพาะกับลติกาที่เมื่อแรกพบออกจะไม่ถูกชะตากันบ้าง ศิรสเป็นคนขอให้ลติกาง้อหมอ จนในที่สุดหมอนันทเดชยอมช่วยเหลือการล้วงค้นเข้าภาวะจิตของสลิตา ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็เหมือนเปิดประตูชีวิตล้างปมในหัวใจของหญิงแกร่งปราดเปรียวของลติกามากขึ้นเรื่อยๆ และหมอนันทเดชเองก็เริ่มพึงใจลติกามากขึ้น จนทำให้ยศสันต์แอบหึงหวง กลายเป็นความรักสามเส้ากรายๆ
ถ้าในอดีตกาหลงคือสาวที่ไปหลงรักเมืองใจฝ่ายเดียว ชาตินี้ลติกาก็กลายเป็นสาวที่มีแต่ชายหนุ่มหมายปอง แต่สุดท้ายหัวใจรักมั่นของลติกาก็เพียงแค่กับเมืองใจ ลติกาประสบความสำเร็จในการดำดิ่งลงไปสู่อดีต เห็นเหตุการณ์เป็นระยะๆ จนรู้ว่ากำลังจะเข้าสู่การรบครั้งสุดท้าย หมอนันทเดชเห็นท่าไม่ดีเมื่อลติกาเอาจิตตนเองไปสวมกับจิตของกาหลงในครั้งหลังๆ จนแทบรู้สึกร่วมไปกับกาหลง หมอนันทเดชจึงไม่ยอมให้ลติกาถูกสะกดจิตอีก และเพราะเขาเองก็หลงรักเธอ หมอนันทเดชจึงเลือกที่จะจากไป คุณปานทิพย์ก็เป็นห่วงลติกาและเธอใช้วิธีไปตามหาพระอาจารย์ธรรมโชติ วิงวอนให้นำลูกชายของเธอกลับมา พระอาจารย์ไม่รับปาก เมืองใจซึ่งเพิ่งเสร็จจากการหารือเรื่องศึกกับนายจันหนวดเขี้ยว เดินมาพบเจ้าจันกะพ้อร่ำไห้ไปฟันต้นกล้วยไป เมืองใจรู้ว่าเจ้าจันกะพ้อคิดถึงแม่อีกเช่นเคย เมืองใจจึงเข้าไปปลอบโยนจันกะพ้อบอกว่าหากวันนั้นเธอมีวิชาเก่งกล้าก็คงจะช่วยแม่ไว้ได้ เมืองใจมองตาเจ้าจันด้วยความรักและสงสารจับใจ เจ้าจันมองกลับแต่ดูสับสนมาก เมืองใจบอกให้เจ้าจันอย่าได้เศร้าใจไป สิ่งที่ผ่านไปเราแก้ไขอะไรมิได้ แต่สิ่งที่อยู่ข้างหน้าในวันพรุ่งนี้ชะตาอยู่ที่มือของเรา กาหลงตามหาจันกะพ้อชงักเมื่อเห็นเมืองใจอยู่กับจันกะพ้อ แต่กาหลงตัดใจเข้ากอดเช็ดน้ำตาให้เจ้าจันกะพ้อ ศิโรตม์ตามมามองเห็นภาพของทั้งสามคนตรงหน้า หารู้ไม่ว่าวันข้างหน้าเขาจะเป็นหนึ่งที่จะวนเวียนอยู่ในห้วงรักกับคนทั้งสามนี้ กาหลงพาเจ้าจันกะพ้อเดินกลับไป ศิโรตม์ถามเมืองใจตรงๆ ว่า "มีใจให้จันกะพ้อใช่ไหม ทำไมไม่บอกพูดสิ่งใดให้เจ้าจันกะพ้อรู้" เมืองใจยิ้มเช่นเดิมและกล่าวว่า "ไม่ใช่เวลา"
สนามรบ ศิโรตม์ที่ทำอะไรไม่ถูกในสนามรบ มันไม่เหมือนกับในภาพยนตร์ที่เขาเคยดู เขาเห็นนายทองเหม็นขี่ควายเข้าไล่แทงพม่า นายแท่นรบด้วยดาบสองมือ เมืองใจนำไปก่อนแล้วเป็นทัพหน้า ศิโรตม์ยืนมองเหมือนตกอยู่ในฝันร้าย เขาไม่เคยคิดว่าจะเห็นมนุษย์ที่ไม่เคยรู้จักกันต้องมาไล่ฆ่ากันแบบนี้ เจ้าจันกะพ้อช่วยศิโรตม์ให้หลบลูกธนูได้ทัน พลางดุศิโรตม์เสียงดังว่านี่ไม่ใช่เวลามายืนทำวิปัสสนา ศิโรตม์นึกถึงหน้าที่ขึ้นมาได้ เขาดึงสติกลับมา ศิโรตม์ห้ามไม่ให้เมืองใจบุกเข้าไปลึกกว่านั้นเพราะจะถูกล้อม ด้วยการจัดการของศิโรตม์นักรบบางระจันกำลังใจดี และสู้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย การรบสิ้นสุดลงก่อนเที่ยง ศิโรตม์งงว่าทำไมรบกันแค่นี้ เจ้าจันกะพ้ออธิบายว่าเพราะต่างฝ่ายต่างเหนื่อยและหิวควรกลับไปพักก่อน อีกสองสามวันจึงจะรบใหม่ ศิโรตม์มองหาเมืองใจ โล่งใจที่เห็นว่าเมืองใจปลอดภัยดี ทางฝ่ายบางระจันไม่มีใครเสียชีวิตมีแต่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น ทุกคนโห่ร้องดีใจกับชัยชนะ มีแต่ศิโรตม์ที่รู้สึกแปลกๆ กับการที่คนสองกลุ่มที่ไม่ได้เกลียดกันต้องมาฆ่ากันเช่นนี้ นักรบทั้งหลายพากันเดินกลับเข้าค่าย ชาวบ้านวิ่งมาต้อนรับ คราวที่แล้วตัวเขาวิ่งออกมารับนักรบ แต่คราวนี้เขาเป็นฝ่ายได้รับการต้อนรับเยี่ยงวีรบุรุษ เมืองใจและศิโรตม์ล้างหน้าล้างตาที่ริมน้ำ เมืองใจรู้ว่าท่านศรีสับสน ศิโรตม์บอกว่า "ก็เห็นอยู่ว่าทหารสองฝ่ายไม่ได้กระเหี้ยนกระหือรืออยากฆ่ากัน ไม่เช่นนั้นคงไม่นัดแนะกันหยุดพัก ไว้พร้อมทั้งคู่ค่อยออกมารบใหม่" เมืองใจบอกว่า "นี่คือหน้าที่ต่อแผ่นดิน ต่างคนต่างมีหน้าที่ของตน ต่างคนต่างมีครอบครัวให้คิดเป็นห่วง" ศิโรตม์บอกว่า "ในเมื่อไม่ได้เกลียดกัน ไม่ได้อยากจะฆ่ากัน ถ้าเช่นนั้นทำไมไม่คุยกันด้วยสันติวิธี เจรจาสงบศึกกัน" เมืองใจบอกว่า "เราก็อยากให้เป็นเช่นนั้น" ศิโรตม์ถามพระอาจารย์ธรรมโชติว่าให้เขามาที่นี่เพื่อมาเห็นค่ายแตกหรือ เขาทำอะไรไม่ได้เลยหรือถ้ารู้ว่าแพ้ก็อย่าสู้เลยดีกว่า บอกให้ชาวบ้านหนีไปดีกว่า พระอาจารย์บอกศิโรตม์ว่าทุกอย่างมีกรรมะเป็นเครื่องตัดสิน และทุกอย่างในจักรวาลล้วนเป็นเหตุเป็นผลกันทั้งสิ้น แค่นี้จะยอมแพ้เสียแล้ว ไม่อายบรรพบุรุษหรือ แล้วพระอาจารย์ก็พาศิโรตม์เดินออกไปที่ลาน เมืองใจและนายแท่นกำลังฝึกดาบสองมือกันอยู่ ทำให้ศิโรตม์เกิดแรงฮึดสู้ขึ้นมาใหม่
ศิโรตม์บอกเมืองใจว่า "ข้าศึกมีอาวุธที่ดี แม้บางระจันมีนักรบที่เก่งกล้าแต่เราอาจสู้ศึกไม่ได้" เขาพยายามบอกให้เจ้าจันกะพ้อและทุกคนไปอยู่กับพระยาตากจะได้รอด เจ้าจันกะพ้อบอกว่า "ไม่" ศิโรตม์บอกว่า "จะสู้ทำไม เพราะแม้จะสู้อย่างไรก็แพ้แน่นอน ขอให้เจ้าจันกะพ้อเชื่อใจเขา" เจ้าจันกะพ้อโวยว่า "ศิโรตม์คิดเช่นนี้ได้อย่างไร เราจะล่วงรู้วันพรุ่งนี้ได้อย่างไร แล้วเธอก็ตัดสินใจไปแล้วว่าจะสู้ไม่ถอยอย่างแน่นอน ตราบใดที่คนบางระจันจะสู้ เธอหักหลังพวกเขาไม่ได้ แล้วศิโรตม์เองก็เคยพูดว่าสตรีก็เท่าเทียมกับชาย เธอจึงจะขอรบเคียงบ่าเคียงไหล่เพื่อรักษาบ้านไว้ด้วยไม่ได้เชียวหรือ" ศิโรตม์มองด้วยความเป็นห่วงเจ้าจันกะพ้อแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะรู้ว่าอย่างไรเจ้าจันก็ไม่มีวันยอมอย่างแน่นอน ริมบึงบัว ศิโรตม์เครียดและท้อ เขาตะโกนเสียงดังเพื่อระบายอารมณ์ เงยหน้ามาพบพระอาจารย์ธรรมโชติ พระอาจารย์ให้ตั้งสติให้มั่น ศิโรตม์ขอให้พระอาจารย์ช่วยนายแท่นด้วย ไม่อย่างนั้นบางระจันคงไม่มีทางชนะได้ พระอาจารย์เตือนสติว่า บางระจันเคยมีจุดจบที่ศิโรตม์เองก็รู้อยู่แล้ว ศิโรตม์คร่ำครวญว่าให้เขามาทำไม ให้มาเห็นผู้คนล้มตาย พ่ายแพ้ โดยช่วยอะไรไม่ได้งั้นหรือ พระอาจารย์ตอบว่า "กรรมะมีทางของมัน ศิโรตม์ได้ช่วยแล้วได้บรรเทาแล้วและจะได้ทำอีกต่อไปในภาคหน้า" ศิโรตม์ไม่เข้าใจ เขาเสียใจและท้อแท้ ศิโรตม์เปิดเผยกับเมืองใจว่า "ตนเองไม่ใช่เทวดา ไม่สามารถบันดาลอะไรให้ได้" แล้วเขาก็พบว่าทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่า ถึงรบอย่างไรก็ไม่มีทางชนะ เมืองใจกล่าวว่า "แต่แม้จะรู้ว่าแพ้ เขาก็ยังคงต้องสู้ต่อไป เพราะนี่คือหน้าที่ที่สำคัญ ทุกคนต้องสู้เพื่อชาติ บ้านเมืองของตน"