ละคร แม่ของแผ่นดิน ตอน ร้อยป่าไว้ด้วยรัก
ดู 3,864 ครั้ง /
แชร์
ละครออกอากาศ | วันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัส วันศุกร์ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ช่องที่ออกอากาศ | ละครช่อง 3 | ||||||||||||||||||||||||
เริ่มออกอากาศ | 6 มกราคม 2560 | ||||||||||||||||||||||||
เวลาออกอากาศ | 19:05 - 20:00 น. |
||||||||||||||||||||||||
กำกับโดย | ปวิตร ตรีเมฆ | ||||||||||||||||||||||||
ประพันธ์โดย | บทประพันธ์ ฐิญาดา, บทโทรทัศน์ ฝนพรำ, นฤมล, ศุภวรรณ | ||||||||||||||||||||||||
นำแสดงโดย | |||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||
ผู้สร้าง | บริษัท กู๊ด ฟีลลิ่ง จำกัด |
ภาพนิ่งจากละคร
เรื่องย่อ แม่ของแผ่นดิน ตอน ร้อยป่าไว้ด้วยรัก
พรนับพัน (ฑาริกา อินสุวรรณ) เกิดในครอบครัวที่คนอื่นมองว่าสมบูรณ์พร้อม คุณพรพรรณราย (สุปราณี เจริญผล) ผู้เป็นแม่เป็นนักสังคมสงเคราะห์ชื่อดัง ส่วนผู้เป็นพ่อคือคุณเมธี เป็นข้าราชการระดับสูงในกระทรวงผู้ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย และกำลังเจริญก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงาน ครอบครัวของพรนับพันถูกยกย่องให้เป็นครอบครัวตัวอย่าง ถูกสัมภาษณ์ลงนิตยสารอยู่บ่อยครั้ง แต่แท้จริงแล้วเป็นการสร้างภาพทั้งสิ้น คุณเมธีเป็นคน นิสัยเจ้าชู้มีบ้านเล็กบ้านน้อยอยู่เสมอ คุณพรพรรณรายก็ไม่ได้เป็นผู้หญิงจิตใจประเสริฐดุจแม่พระดั่งภาพที่ใคร ๆ เห็น ต้องทนเก็บความช้ำชอกในการกระทำของสามีไว้ในอก ไม่สามารถแสดงให้ผู้อื่นเห็นได้ เพื่อรักษาหน้าตาในวงสังคม
คุณเมธีกับคุณพรพรรณรายทะเลาะกันจนถึงขั้นต้องแยกห้องกันนอน คุณพรพรรณรายจึงมักชอบมาระบายอารมณ์ใส่พรนับพัน ทำให้พรนับพันกลายเป็นคนชอบประชดประชันทั้งที่รู้ว่าเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ตั้งแต่เรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่คุณพรพรรณรายอยากให้สอบเข้าของรัฐบาล พรนับพันก็ไปสอบเข้าเอกชนทั้งที่เป็นคนเรียนเก่ง คุณพรพรรณรายบอกให้แต่งตัวเรียบร้อย พรนับพันก็แต่งตัวตรงกันข้าม
คุณพรพรรณรายชอบยกเอาปรางวลัย (ชลธิชา เที่ยงธรรม) บุตรสาวของคนรู้จักมาพูดเปรียบเปรยให้พรนับพันฟังว่าเรียนเก่ง จบมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ และยังสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย 1 ใน 5 ของสหรัฐอเมริกา วันหนึ่งพรนับพันไปงานเลี้ยงสำคัญกับผู้เป็นแม่และเจอปรางวลัย ทำให้พรนับพันรู้ว่าที่แท้ปรางวลัยคนที่แม่ของเธอเอาไปพูดให้ฟังนั้น เป็นคนคนเดียวกับปรางวลัยซึ่งเป็นเพื่อนของวิลาสินี เพื่อนของเธออีกทีหนึ่ง
ปรางวลัยจำพรนับพันไม่ได้ จึงคุยโอ้อวดอย่างโน้นอย่างนี้ และบอกว่าเพิ่งจบจากบอสตัน ทำให้พรนับพันรู้ว่าที่แม่ของปรางวลัยไปคุยอวดกับแม่ของเธอนั้นไม่ใช่เรื่องจริง พรนับพันรู้ว่าบอสตันไม่ใช่มหาวิทยาลัย 1 ใน 5 อย่างที่ปรางวลัยคุยอวดแต่อย่างใด จึงถามออกไปว่าจำเธอไม่ได้หรือว่าเคยเจอกันตอนงานฉลองเรียนจบชั้นมัธยมเมื่อหลายปีก่อน และยังพูดเรื่องที่แม่ของเธอบอกว่าปรางวลัยจบจากมหาวิทยาลัย 1 ใน 5 ของอเมริกา คำพูดของพรนับพันสร้างความโกรธให้กับปรางวลัยมาก เพราะคิดว่าพรนับพันจงใจฉีกหน้า
พรนับพันไปงานวันเกิดของเพื่อนในผับแถวทองหล่อ และถูกผู้ชายที่มาเที่ยวและอยู่ในอาการเมามาชวนไปเที่ยวต่อ เพราะคิดว่าเป็นผู้หญิงอย่างว่า พรนับพันก็ตอบโต้ออกไปอย่างโมโหว่าเธอไม่ใช่ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวอยู่ในสายตาของพันตรีแสนคม (มาสุ จรรยางค์ดีกุล) นายทหารจากกองพลพัฒนาประจำอยู่ที่สวนป่าเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งเป็นโครงการในพระราชดำริ ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ แสนคมลาพักมาเยี่ยมครอบครัวที่กรุงเทพ โดยมีร้อยเอกบดินทร์ (ชานน ริกุลสุรกาน) ซึ่งทำงานอยู่ที่เดียวกัน และสนิทสนมกันตั้งแต่สมัยเรียน เตรียมทหารตามมาเที่ยวที่บ้านด้วย
แสนคมมาเที่ยวกับเพื่อนสนิทคือพันตรีกิตติ พันตรีธีรดนย์ พันตรีอภิเชษฐ์ รวมทั้งบดินทร์ด้วย แสนคมมองพรนับพันในชุดสุดเปรี้ยวอย่างเสียดาย เขาคิดว่าหน้าตาก็สะสวยน่าจะแต่งตัวให้มิดชิดกว่านี้ แต่แปลกที่สายตาของแสนคมมักจะวนเวียนไปทางพรนับพันบ่อยๆ จนถูกเพื่อนๆ แซว แสนคมแก้ตัว บอกว่าที่มองเพราะคิดว่าถ้าเป็นน้องเป็นนุ่งจะจับมาตีก้นให้เข็ด
พรนับพันไม่รู้เลยว่า จากเหตุการณ์ที่มีผู้ชายเมามาจับไหล่ อยู่ในสายตาของปรางวลัยที่มาเที่ยวกับเพื่อน และมาเห็นเข้าโดยบังเอิญ เพราะความเจ็บใจที่ถูกฉีกหน้าครั้งนั้น ปรางวลัยจึงจงใจใช้มุมกล้องช่วยถ่ายทำให้เหมือนกับผู้ชายคนดังกล่าวโอบไหล่ ตั้งใจจะส่งไปให้ผู้เป็นแม่ของพรนับพันดู และยังเข้าไปทักพรนับพันกับเพื่อนๆ ที่โต๊ะ
วันสุดท้ายของการลาพัก แสนคมแวะไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้า แล้วเจอกับพรนับพันอีก ในชุดกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดพอดีตัว ทำให้แสนคมนึกในใจว่าสมควรแล้วที่ถูกมองเป็นผู้หญิงอย่างว่า ตัวพรนับพันเองก็สงสัยที่จู่ๆ ก็ถูกผู้ชายหน้าตาหล่อเหลามองด้วยสายตาดุๆ ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
พรนับพันกลับไปบ้าน แต่งตัวเตรียมตัวไปงานแต่งงานเพื่อนในตอนเย็น แต่ก็ทะเลาะกับคุณพรพรรณรายก่อน เพราะปรางวลัยส่งรูปที่ถ่ายในผับไปให้ดู ทั้งที่พรนับพันพยายามจะอธิบายเรื่องราวให้รู้ แต่คุณพรพรรณรายไม่ฟัง และบอกว่าคนที่ส่งรูปมาให้ดูคือปรางวลัย ทำให้พรนับพันเดาได้เลยว่าปรางวลัยมีจุดประสงค์อย่างไรในการทำเช่นนี้
ด้วยความโกรธบวกกับเสียใจที่คุณพรพรรนรายเชื่อคนอื่นมากกว่าลูกตัวเอง ทำให้พรนับพันพูดออกไปว่า ที่พ่อต้องไปมีผู้หญิงอื่นก็เพราะแม่เป็นแบบนี้ ทำให้คุณพรพรรณรายลุแก่โทสะตบหน้าสร้างความเสียใจให้กับพรนับพันมาก จนบอกว่าจะไม่อยู่บ้านนี้อีกแล้ว และทิ้งคำพูดไว้ให้คุณพรพรรณรายคิดว่า ถ้ามีลูกจะไม่เอาคนอื่นมาเปรียบเทียบกับลูกของตัวเองเป็นอันขาด และจะเชื่อใจคนในครอบครัวมากกว่าคนอื่น
พรนับพันผลุนผลันขับรถออกจากบ้านไปอย่างไร้จุดหมาย ที่ผ่านมาแม้จะมีปากเสียงกับมารดา แต่ไม่เคยรุนแรงถึงขั้นถูกตบหน้า และแล้วพรนับพันก็นึกถึงป้าพวง (ดวงตา ตุงคะมณี) คนเลี้ยงตั้งแต่สมัยเด็กๆ ที่เธอมักจะยึดอีกฝ่ายไว้เป็นที่เป็นที่ระบายความในใจต่างๆ เวลามีปัญหา ป้าพวงลาออกไปอยู่บ้านต่างจังหวัดเมื่อสองปีก่อน แต่ก็ติดต่อกันอยู่เสมอ ตอนแรกพรนับพันคิดจะโทรไปหาก่อนแต่ก็เปลี่ยนใจ เพราะถ้าโทรไปก็คงถูกยับยั้งไม่ให้ไป จึงคิดจะไปตายเอาดาบหน้าดั้นด้นไปหาด้วยตัวเอง
พรนับพันรู้ว่าป้าพวงกลับไปอยู่ที่หมู่บ้านห้วยม่วงในอำเภอสวนผึ้ง เมื่อขับรถถึงตัวอำเภอ พรนับพันก็ถามเส้นทางกับเด็กปั้ม หลังเดินทางไปได้ค่อนทางด้วยความไม่ชำนาญ พรนับพันก็ขับรถหลงทางไปไหนไม่ถูก สร้างความหวาดกลัวให้กับตัวเธอมาก ภาวนาให้มีรถวิ่งผ่านมาเพื่อจะได้ขอความช่วยเหลือ ไม่นานพรนับพันก็เห็นรถวิ่งมาก็รู้สึกดีใจ แต่ยังไม่กล้าเปิดประตูลงไปเพราะไม่รู้ว่าเป็นคนดีหรือคนร้าย
พันตรีแสนคมคือคนที่ขับรถผ่านเข้ามา เพื่อกลับเข้าไปยังสถานที่ทำงานคือสวนป่าเฉลิมพระเกียรติ แสนคมเพิ่งกลับมาจากการลาพักที่กรุงเทพ ครั้นเห็นรถคันหรูหราจอดอยู่ก็เกิดความสงสัยว่าใครกันมาจอดรถในเวลามืดค่ำเช่นนี้ และที่สำคัญในสถานที่ที่เปี่ยมไปด้วยอันตรายอย่างที่นี่ เพราะแถบนี้เป็นพื้นที่แนวตะเข็บชายแดนที่มีพวกชนกลุ่มน้อยอย่างพวกทหารกะเหรี่ยง ที่มักจะถูกทหารพม่ากวาดล้างหลบหนีเข้ามาอยู่บ่อยๆ
แสนคมขับรถเข้าไปใกล้ๆ ก็มองเห็นว่าคนอยู่ในรถเป็นผู้หญิง ยิ่งทำให้สงสัยมากขึ้น แต่เมื่อเห็นคนในรถชัดเจนแสนคมก็แปลกใจ เพราะผู้หญิงที่นั่งอยู่ในรถและแต่งตัวราวกับจะไปงานเลี้ยง คือคนที่เขาเคยเจอถึงสองครั้งแต่คนละสถานที่เมื่อหลายวันก่อน ไม่นึกว่าจะมาอีกในกลางป่าเช่นนี้ แล้วความรู้สึกที่ตามมาของแสนคมคืออาการใจหาย เพราะหากว่าไม่เจอเขาแล้ว ไปเจอพวกกองกำลังติดอาวุธของทหารกะเหรี่ยงหรือพม่าเข้าจะเป็นอย่างไร
พรนับพันเห็นชายหนุ่มในชุดทหารเดินมาหา ก็เอ่ยขอความช่วยเหลือบอกว่าหลงทาง ให้ช่วยขับรถนำทางให้หน่อย แสนคมถามว่าจะไปไหน พรนับพันบอกว่าจะไปบ้านห้วยม่วง แสนคมบอกว่าเขาก็กำลังจะไปที่นั่นอยู่พอดี แต่เขาจะไม่ขับนำทางให้ เพราะถ้าเกิดขับตามไม่ทันแล้วหลงขึ้นมาจะยุ่งอีก มีทางเดียวคือให้เขาขับให้เท่านั้น คำพูดดังกล่าวทำให้พรนับพันเกิดอาการลังเลขึ้นมา เพราะจู่ ๆ จะให้ใครไม่รู้มาขับรถให้ ไม่รู้ว่าไว้ใจได้แค่ไหน แสนคมเห็นอาการของพรนับพันก็รู้สึกหงุดหงิด บอกว่าเขาไม่มีเวลามากนักถ้าอยากจะนั่งอยู่ในรถก็เชิญ และทำท่าจะผละจากไป
บดินทร์ที่ตามลงมาเห็นจึงเข้าไปช่วยพูด บอกกับพรนับพันว่าให้แสนคมขับรถให้เป็นสิ่งถูกต้องแล้วเพราะชำนาญทางมากกว่า และพูดถึงเรื่องทหารกะเหรี่ยงให้พรนับพันฟังพรนับพันจึงยินยอม พรนับพันเผลอนั่งหลับเพราะความอ่อนเพลีย บวกกับความหวาดกลัวที่ผจญอยู่ก่อนหน้า กระทั่งรถมาถึงยังหมู่บ้านจึงตกใจตื่น แสนคมถามว่าจะไปบ้านใคร พรนับพันบอกว่าไปบ้านป้าพวง แสนคมจึงพาพรนับพันไปส่งเพราะรู้จักกับป้าพวงเป็นอย่างดี ป้าพวงลงมาจากบ้านอย่างแปลกในที่เห็นรถของแสนคม และก็ตกใจเมื่อเห็นพรนับพันที่โผเข้าหาพร้อมร้องไห้สะอึกสะอื่น จึงถามแสนคมว่าไปเจอพรนับพันได้อย่างไร เมื่อแสนคมเล่าให้ฟังป้าพวงตกใจมากพร้อมทั้งพูดขอบคุณไม่ขาดปาก
แสนคมลากลับบ้านพักพร้อมกับภาพของหญิงสาว ที่เขาพบในแต่ละสถานที่และต่างสถานการณ์ตามติดเข้าไปในห้วงสำนึกด้วย โดยเฉพาะภาพการร้องไห้สะอึกสะอื้น ทำให้นายทหารหนุ่มที่ไม่เคยสนใจในเพศตรงข้ามมาก่อนเพราะความเบื่อหน่าย เกิดความรู้สึกอยากลองค้นหาผู้หญิงคนนี้ดูว่าตกลงผู้หญิงคนนี้เป็นคนอย่างไรกันแน่ พบเจอแต่ละครั้งช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แสนคมเป็นนายทหารหนุ่มวัยใกล้สามสิบปี ผู้มีหน้าตาราวกับไอดอลเกาหลี จึงมักจะถูกพวกศัตรูสบประมาทอยู่เสมอ และเป็นคนบ้าดีเดือด ผิดรูปร่างหน้าตาเป็นนายทหารที่จงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง แสนคมเป็นบุตรชายคนเดียวของพลโทพัชร ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพภาค และกำลังเจริญรุ่งเรืองในราชการ มารดาคือคุณสราญรัตน์ แสนคมถอดแบบบิดามาแทบทั้งหมดทั้งการรักและภักดีต่อชาติ
แสนคมเป็นคนรักและหวงชีวิตโสดมาก จึงมักชอบทำปั้นหน้าเคร่งอยู่เสมอเพื่อไม่ให้ผู้หญิงมาเข้าใกล้ และก็มักจะได้ผล คงมีเพียงลูกสาวของกำนันคำ กำนันในหมู่บ้านและอรชุมาหรือครูอ้อ ครูที่โรงเรียนในหมู่บ้าน ที่ยังคงมาป้วนเปี้ยนสร้างความรำคาญให้อยู่บ่อยครั้ง แสนคมมีลูกน้องคู่ใจอยู่สองคนคือ จ่าสิบเอกโชติช่วงที่หน้าตาสุดโหดชอบไว้หนวดเคราราวกับโจร แต่เป็นคนมีอารมณ์ศิลปินชอบร้องเพลงลูกทุ่งเป็นนิตย์ พูดจาอ่อนหวานผิดใบหน้า มีเพื่อนคู่หูคือจ่าสิบเอกสุทัศน์ ที่หน้าตาเรียบร้อยแต่ชอบพูดจามึงมาพาโวยผิดหน้าตาอีกเช่นกัน ทั้งคู่รักและเคารพแสนคมมาก แม้จะเพิ่งอยู่ด้วยกันไม่นาน เพราะแสนคมเพิ่งย้ายมาที่นี่ได้ไม่ถึงปี
พรนับพันตื่นมาในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยและในชุดแต่งกายของป้าพวง แต่เมื่อนึกทบทวนความจำก็นึกได้ว่าที่นี่เป็นบ้านป้าพวง จึงเปิดประตูออกมายืนตรงระเบียงมองไปรอบๆ ก็เห็นทิวเขายาวสลับซับซ้อน ยิ่งทำให้นึกถึงคำพูดที่ว่าห่างไกลความเจริญขึ้นมาในทันใด นางพวงดีใจมากที่เห็นเด็กที่นางเลี้ยงมาด้วยความรัก ยังนึกถึงตัวนางไม่ระเหเร่ร่อนไปไหน นึกรู้ทันทีว่าจะต้องมีปัญหากับผู้เป็นแม่อย่างแน่นอน ภายใต้สีหน้าท่าทางถือตัวรวมทั้งอาการที่ดูคล้ายเหวี่ยงวีนนั้น เป็นการกระทำที่หลอกสายตาผู้อื่นเท่านั้น เพราะแท้ที่จริงพรนับพันเป็นคนอ้างว้าง ว้าเหว่ ขาดความอบอุ่น แต่เป็นคนจิตใจดี
นางพวงถามพรนับพันว่าจะอยู่ที่นี่ได้หรือ พรนับพันก็บอกออกไปด้วยทิฐิว่าอยู่ได้ เพราะในใจนั้นคิดว่าไม่มีทางจะซมซานกลับไปบ้านเป็นอันขาด และเล่าถึงสาเหตุที่ทำให้ต้องดั้นด้นมาหานางพวงถึงที่นี่ ซึ่งนางพวงก็ได้แต่พูดปลอบใจและคิดในใจว่าเรื่องทุกอย่างคงต้องให้กาลเวลาทำหน้าที่เยียวยาเรื่องราวทั้งหมด
พรนับพันเห็นเด็กชายที่มายืนจ้องตัวเองขณะลงไปที่รถ ก็ถามนางพวงได้รับคำตอบว่าเด็กชายคนดังกล่าวชื่อจุ้น เป็นเด็กชาวกะเหรี่ยงที่ ผู้พันแสนคมไปพบขณะร้องไห้อยู่ข้างๆ ศพของพ่อแม่ จึงนำมาฝากนางพวงเลี้ยงโดยเป็นคนส่งเสียค่าเลี้ยงดูเอง พรนับพันฟังแล้วก็เกิดความสงสารในตัวเด็กชายอย่างไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน
นางพวงเล่าให้พรนับพันฟังคร่าวๆ ว่า เมื่อหลายสิบปีก่อน พื้นที่แถบนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าเขา ต้นไม้ ต้นน้ำ ลำธาร รวมทั้งสัตว์ป่าน้อยใหญ่ แต่เมื่อเกิดการทำเหมืองแร่ขึ้นและมีผู้คนอพยพเข้ามาทำกิน ผืนป่าจึงเปลี่ยนสภาพเป็นชุมชน ครั้นหมดสัมปทาน ผู้คนก็หันมาทำอาชีพเกษตรกรแทน นานเข้าเมื่อผืนดินไม่อุดมสมบูรณ์เหมือนเดิม โครงการสวนป่าที่ช่วยฟื้นฟูผืนดิน ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จึงเกิดขึ้น
นอกจากนี้ยังมีศูนย์ศิลปาชีพ ที่เป็นโครงการในพระราชดำริเช่นกัน ที่นอกจากจะทำให้คุณภาพชีวิตของชาวบ้านดีขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้ว ยังเพิ่มรายได้เสริมจนสามารถเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง โดยไม่ต้องเข้าไปหาของป่าหรือถางป่าเพื่อปลูกไร่เลื่อนลอยเหมือนเช่นแต่ก่อน นางพวงมักจะเอ่ยถึงผู้พันแสนคมให้พรนับพันฟังอยู่ไม่ขาดปาก สร้างความหมั่นไส้ให้เกิดขึ้นกับพรนับพันไม่น้อย
แสนคมมาบ้านนางพวงแต่เช้า ถือของแห้งพวกกุนเชียง หมูทุบ หมูแผ่น พร้อมด้วยกาแฟมาฝากป้าพวง ทั้งที่จุดประสงค์หลักที่เอามานั้น แสนคมรู้ว่าเอามาฝากหญิงสาวที่มาอยู่กับนางพวงต่างหาก และครั้งนี้พรนับพันได้รู้จักกับจ่าวัยกลางคนชื่อช่วงโชติ ที่มาพร้อมเสียงเพลง ซึ่งจงใจร้องจีบนางพวงเสมอเมื่อมีโอกาส จ่าหน้าตาโหดแต่คำพูดและการแสดงออกขัดกับใบหน้าที่สุด
เด็กชายจุ้นที่รู้สึกถูกชะตากับหญิงสาวสวยชื่อพรนับพันมาก ปกติจุ้นจะไม่ค่อยชอบผู้หญิงที่เข้ามา วุ่นวายกับผู้พันแสนคมของมันนัก เพราะมันหวงผู้พันของมันราวกับจงอางหวงไข่ จุ้นเห็นตุ๊กแกที่เกาะอยู่ไม่ห่างจากตัวพรนับพันก็ตะโกนบอก ครั้นพรนับพันหันไปเห็นด้วยความตกใจทำให้โผเข้ากอดแสนคม สร้างความอับอายให้เกิดกับพรนับพันเป็นอย่างมาก แต่ก็สร้างความกังขาให้เกิดกับจ่าโชติเช่นกัน เพราะจ่าโชติเคยเห็นดวงใจ (สิปโปทัย ฉันทะสิริวัฒน์) ลูกสาวกำนันคำกลัวตุ๊กแกโผเข้ากอดแสนคม แต่แสนคมหลบจนดวงใจล้มไม่เป็นท่า แต่ครั้งนี้นอกจากไม่หลบยังยอมให้กอดแต่โดยดี
วิชิต หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามาหาแสนคมถึงที่ทำงาน เพื่อจะมาคุยถึงเรื่องที่จะมีการลักลอบขนลูกช้างป่าขึ้นในอีกไม่ช้า แสนคมก็ทราบจากสายที่รายงานเข้ามาเช่นกัน แสนคมอยู่ที่นี่ต้องผูกมิตรกับชาวบ้าน ดังนั้นพอมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจึงมักจะแก้ไขได้ทันเวลาเสมอ วิชิตชื่นชมในตัวแสนคมมากในการเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่มีนอกมีในเหมือนนายทหารคนเก่าที่ถูกย้ายออกไป ทั้งที่ตอนแสนคมย้ายมาใหม่ๆ วิชิตเองก็มองแสนคมผิดไปเหมือนกัน เพราะเห็นว่าเป็นลูกชายแม่ทัพภาคจะอยู่ได้สักกี่น้ำ แต่แสนคมก็ทำผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ โดยเฉพาะการเข้าขัดขวางพวกลักลอบขนลูกช้างป่าจนเกิดปะทะกันขึ้น เมื่อตอนย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน
จากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มีการสูญเสียเกิดขึ้น เพราะทหารเสียชีวิตไปสองนาย เจ้าหน้าที่ป่าไม้หนึ่งนาย และฝ่ายตรงข้ามก็เสียชีวิตสามคน ส่วนแสนคมบาดเจ็บสาหัสจนมีแผลเป็นที่หน้าอก และคนของฝ่ายตรงข้ามก็บาดเจ็บสาหัสหนีรอดไปได้หนึ่งคน และแสนคมจำได้ว่าชื่อชีพ
เสี่ยเกรียงไกรเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในอำเภอสวนผึ้ง และเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ แต่ไม่สามารถเอาผิดได้เพราะไม่มีหลักฐานเพียงพอ เสี่ยเกรียงไกรเป็นเจ้าของรีสอร์ตหรูในอำเภอสวนผึ้ง มีคดีที่กำลังฟ้องร้องอยู่หลายคดี ทั้งคดีที่สร้างรีสอร์ตรุกเข้าไปในป่าสงวน และรับซื้อที่ของราชพัสดุจากชาวบ้านซึ่งรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งคดีดังกล่าวก็ยืดเยื้อมานาน จนแสนคมมองว่าผลที่สุดเสี่ยเกรียงไกรก็ต้องเป็นฝ่ายชนะ แต่แสนคมบอกกับวิชิตว่าถ้าเขาไม่ตายซะก่อนจะต้องเอาเสี่ยเกรียงไกรเข้าคุกให้ได้
นางพวงจะพาพรนับพันไปตลาดในตัวอำเภอเพื่อซื้อเสื้อผ้า แต่รถยนต์คันหรูของพรนับพันกลับสตาร์ทไม่ติด นางจึงให้จุ้นไปตามแสนคมมาดูรถให้ จนพรนับพันนึกค่อนขอดว่าอะไรๆ ก็นึกถึงแต่แสนคม และเมื่อแสนคมมาถึง พร้อมด้วยบดินทร์ที่เห็นสภาพรถก็รู้ทันทีว่าไดชาร์จเสีย ต้องจอดไว้อย่างเดียว รอให้ช่างจากอู่มารับ นางพวงจึงขอติดรถของแสนคม ซึ่งกำลังจะเอางานของศูนย์ศิลปาชีพไปส่งให้เจ้าหน้าที่จากสวนจิตรลดาในตัวอำเภอสวนผึ้งพอดี
นางพวงแอบโทรศัพท์ไปหาคุณพรพรรณรายกับคุณเมธี ซึ่งทั้งสองกำลังวิตกกังวลกับการหายตัวไปของพรนับพันอยู่พอดี โดยเฉพาะคุณพรพรรณรายที่ทำทีเป็นไม่สนใจนั้น แท้ที่จริงก็รักลูกมาก แต่ที่ทำไปเพราะต้องการประชดสามี พลั้งมือตบหน้าลูกสาวก็ใช่ว่าจะไม่เสียใจ ถึงกับทำให้ละทิฐิโทรหาพรนับพันแต่ติดต่อไม่ได้ รวมทั้งคุณเมธีก็เช่นกันที่เป็นห่วงลูกสาวไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เมื่อรู้ว่าพรนับพันอยู่กับนางพวงก็เบาใจ โดยนางพวงบอกว่ายังไม่ต้องมาหา ให้พรนับพันอยู่อย่างนี้ไปก่อน ให้เรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเองแล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง
พรนับพันพบกับดวงใจลูกสาวของกำนันคำและมีปากเสียงกัน จากการที่ดวงใจเดินหันรีหันขวางจนชนกับพรนับพัน แต่ดวงใจกลับโทษว่าเป็นความผิดของพรนับพัน กระทั่งไกรภพ (กันตพัฒน์ เพิ่มพูนพัชรสุข) ลูกชายของเสี่ยเกรียงไกรเข้ามาไกล่เกลี่ย เพราะติดใจในตัวของพรนับพัน และท่าทีของไกรภพก็สร้างความหมั่นไส้ให้เกิดกับดวงใจไม่น้อย เพราะแม้ตัวเองจะชอบแสนคมมากก็ตาม แต่ตัวไกรภพก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย ไกรภพกำลังจะสานสัมพันธ์กับพรนับพัน แต่ถูกชีพคนสนิทของผู้เป็นพ่อเข้ามากระซิบบอกเหตุร้ายเสียก่อน ทำให้ต้องผละไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
แสนคมรีบส่งของให้เจ้าหน้าที่จากสวนจิตรลดา แล้วรีบขับรถกลับท่ามกลางอาการสงสัยของบดินทร์ เพราะปกติแสนคมจะต้องแวะทักทายกับคนนั้นคนนี้ก่อน แต่ก็พอเดาได้ว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากพรนับพัน ระหว่างที่แสนคมเดินตรงไปยังพรนับพันที่ยืนอยู่กับนางพวงและจุ้นโดยมีดวงใจอยู่ด้วย ก็สวนกับไกรภพและชีพทำให้แสนคมต้องหันกลับไปมอง สร้างความสงสัยให้เกิดกับบดินทร์จนต้องถาม แสนคมจึงพูดถึงคนที่เดินสวนกันว่าต้องเป็นชีพแน่นอน แม้จะสวมแว่นตาปกปิดไว้ก็ตาม เพราะจำรอยแผลเป็นที่แก้มได้ ดวงใจได้ยินจึงถือโอกาสพูดขึ้นมาว่าตัวเองรู้จักผู้ชายที่เดินไปเมื่อกี้ และบอกว่าหนึ่งในนั้นเป็นลูกชายเสี่ยเกรียงไกร ส่วนอีกคนเป็นคนสนิทของเสี่ยเกรียงไกรชื่อชีพ
คำพูดของดวงใจทำให้แสนคมรู้ว่าเขาเดาไม่ผิด ดวงใจรีบบอกว่าตัวเองเปลี่ยนชื่อจากดวงใจเป็น ดวงลดาแล้ว และยังเปลี่ยนชื่อเล่นเป็นลดาด้วย แต่แสนคมไม่ได้สนใจนัก ดวงใจหรือชื่อใหม่ว่าดวงลดาบอกกับแสนคมว่าขอติดรถไปด้วยเพราะรถของตัวเองสตาร์ทไม่ติด บดินทร์จึงอาสาจะไปดูให้ ทำให้ดวงลดารีบบอกว่าไม่ต้อง เพราะถ้าบดินทร์ไปดูก็รู้ว่ารถไม่ได้เป็นอะไร จึงมองบดินทร์อย่างไม่ชอบใจก่อนจะขอตัว
ระหว่างเดินทางกลับ แสนคมเกือบขับรถเหยียบลูกหมาสีดำ จึงลงไปอุ้ม เมื่อมองไม่เห็นใครก็อุ้มขึ้นรถมาและให้พรนับพันเอาไปเลี้ยง พรนับพันดีใจมากเพราะต่อไปนี้จะได้ไม่เหงา บดินทร์ถามถึงเรื่องชีพ แสนคมจึงเล่าเรื่องให้ฟังว่าเคยมีเรื่องกันมาก่อน นางพวงบอกแสนคมว่าเคยเห็นหน้าผู้ชายที่มีรอยแผลเป็นที่หน้า บอกว่าเป็นคนจิตใจเหี้ยมโหด เพราะเคยยิงหมาของตาคะยอแค่ถูกเห่าเท่านั้น เตือนให้แสนคมระวังตัวให้ดี พรนับพันฟังเรื่องราวแล้วไม่อยากเชื่อว่าคนอย่างแสนคมจะบ้าดีเดือดถึงเพียงนั้น
ชีพบอกกับไกรภพว่าคนที่เดินสวนกันคือตัวแสบ ที่คอยขัดขวางงานมาตลอดตั้งแต่ย้ายมา ไกรภพฟังแล้วไม่เชื่อถือ แต่ชีพบอกว่าที่ใบหน้ามันเป็นแผลเป็นจนทุกวันนี้ก็เพราะแสนคม เรื่องการลักลอบขนลูกช้างครั้งที่แล้วไม่สำเร็จก็เป็นเพราะแสนคมนำกำลังเข้าขัดขวางจนเกิดปะทะกัน จนต้องสูญเสียมือดีไปถึงสามคน และบอกว่าเสี่ยเกรียงไกรเคยเอาเงินใส่ซองไปให้แต่แสนคมคืนกลับมา ไกรภพทระนงบอกว่าเขาไม่เชื่อหรอกว่าเงินจะไม่สามารถซื้อคนได้
ผู้ใหญ่สมปองไปหาแสนคมที่บ้าน เพื่อฝากเพลินตาซึ่งเป็นลูกสาวให้ไปเรียนที่ศูนย์ศิลปาชีพ ซึ่งท่าทางของเพลินตาออกเป็นทอมบอยทำให้บดินทร์นึกว่าเป็นผู้ชาย สร้างความโกรธเคืองให้เพลินตามาก และผู้ใหญ่สมปองก็บอกว่าจะแวะไปหานางพวงที่เป็นน้องสาว เพราะได้ข่าวว่ามีคนมาอยู่ด้วย เพลินตาก็บอกว่าถ้าคนมาอยู่ด้วยชื่อขิมก็เป็นคนที่อาเลี้ยงมาแต่เล็กและรักนักรักหนา เธอเคยไปเยี่ยมนางพวงที่บ้านแล้วเคยเจอ ดูเหมือนจะเป็นเด็กมีปัญหาเพราะเจอตอนร้องไห้ทั้งสองครั้ง และยังพูดอีกว่ากลัวจะมาสร้างภาระให้ผู้เป็นอามากกว่า ทำให้บดินทร์พูดขึ้นว่าเพลินตามองคนในแง่ร้าย ยิ่งทำให้เพลินตาไม่ค่อยชอบหน้าบดินทร์นัก
จุ้นตั้งชื่อลูกหมาตัวดำปิ๊ดปี๋ว่าสมปอง นางพวงจึงบอกว่าระวังผู้ใหญ่สมปองซึ่งเป็นพี่ชายของนางจะสับสนเอานะ แต่ก็เป็นจริงตามที่นางพวงพูด เพราะผู้ใหญ่สมปองแวะมาที่บ้านพร้อมด้วยแสนคม และบดินทร์ พอรู้ว่าลูกหมาชื่อเหมือนตัวเองก็โวยวาย จนแสนคมเกรงใจบอกให้จุ้นเปลี่ยน และถามถึงสาเหตุว่าทำไมตั้งชื่อนี้ จุ้นก็บอกว่าตั้งให้คล้องกับแสนคม ทำเอาแสนคมหน้าเหวอพรนับพันนั้นหัวเราะออกมาด้วยความขำ เพลินตาเห็นพรนับพันก็มองว่าเป็นคุณหนูก็ถามออกมาตรงๆ ว่าจะมาอยู่ที่นี่ได้แน่หรือ พรนับพันก็บอกว่าให้คอยดูต่อไป
ผู้ใหญ่สมปองเพิ่งนึกได้ว่านัดชาวบ้านเอาไว้เพื่อไปทำแนวกันไฟ จึงรีบผลุนผลันออกไป โดยนางพวงเองก็เพิ่งนึกได้เพราะจ่าโชติบอกไว้แล้ว จึงบอกเดี๋ยวจะตามไป นางพวงบอกให้พรนับพันอยู่บ้านกับจุ้นไม่ต้องออกไปช่วย แต่พรนับพันเห็นสายตาดูถูกของเพลินตาก็บอกว่าจะไปช่วยด้วย โดยมีจุ้นบอกว่าเดี๋ยวจะคอยช่วยพรนับพันด้วยอีกแรง เมื่อพรนับพันไปถึงจุดที่ทำแนวกันไฟที่อยู่ใกล้กับศูนย์ศิลปาชีพ เห็นการร่วมแรงร่วมใจของชาวบ้าน มากมายที่ต่างไปช่วยกันโดยไม่ต้องมีค่าจ้าง สร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นกับพรนับพันโดยไม่รู้ตัว
จากการมาช่วยทำแนวกันไฟ ทำให้พรนับพันเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจไม่น้อย แม้จะไม่ได้ช่วยอะไรมากมายนักก็ตาม และยังได้พบกับตาคะยอซึ่งเป็นเกษตรกรดีเด่น และนางพวงเคยเล่าให้ฟังว่าตาคะยอเป็นชาวกะเหรี่ยงก็จริง แต่มีหัวใจของความเป็นไทยอยู่เต็มเปี่ยม เพราะมีความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถมาก
พรนับพันช่วยคนอื่นทำทั้งที่ไม่เคยทำ ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้เพลินตาเริ่มมองพรนับพันในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิม แสนคมเอาหมวกให้พรนับพันคลุมกันแดด ทำให้พรนับพันรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ค่อยๆ เกิดขึ้นกับตัวเอง ขณะทำงานแสนคมมักจะมองหาแต่พรนับพัน ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แค่เห็นผู้หญิงคนนี้อยู่ในสายตาเขาก็พอใจแล้ว จ่าโชติมาบอกแสนคมว่ากำนันคำต้องการพบแสนคม ซึ่งไม่ค่อยได้พูดคุยกับกำนันคำนัก เพราะส่วนมากจะคุยกับผู้ใหญ่สมปองมากกว่า จึงนึกสงสัยว่ากำนันคำมีเรื่องอะไรคุยกับเขา เมื่อแสนคมไปถึงกำนันคำที่ยืนอยู่ก็ถามถึงธุระ พูดเป็นทำนองว่าถ้าแสนคมเปลี่ยนใจขอให้บอก
แสนคมก็บอกว่าเขาไม่เคยรับปากอะไรไปทำไมต้องเปลี่ยนใจด้วย กำนันคำจึงพูดถึงเรื่องที่เสี่ยเกรียงไกรเคยเอาเงินใส่ซองมาให้ทำไมแสนคมถึงไม่รับ แสนคมจึงบอกกำนันคำไปว่าเขาไม่สนใจเงินนั่นหรอก เขาไม่เคยคิดคดทรยศต่อแผ่นดิน และพูดใส่กำนันคำออกไปว่า เคยได้ยินมาว่าเมื่อก่อนกำนันคำเป็นคนดีมาก แล้วอะไรทำให้เปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ และยังฝากไปบอกกับเสี่ยเกรียงไกรว่าให้ระวังตัวไว้ให้ดี ทำอะไรไม่ดีไว้อย่านึกว่าไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น พูดจบก็เดินจากไป
จ่าโชติกับจ่าทัศน์พอรู้ว่ากำนันคำพูดจาอะไรกับแสนคมต่างก็โกรธ เพราะทั้งสองจ่าอยู่ที่นี่มานาน รู้ว่าเมื่อก่อนกำนันคำไม่ใช่คนแบบนี้ ที่เปลี่ยนไปเป็นเพราะเงินตัวเดียวจริงๆ เพราะเดี๋ยวนี้กำนันคำขับรถป้ายแดง สร้างบ้านหลังใหม่ ซื้อรถป้ายแดงให้ดวงใจขับ พกโทรศัพท์มือถือเครื่องละสองหมื่น และมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับเสี่ยเกรียงไกรมาก
ชีพซึ่งเป็นคนสนิทของเสี่ยเกรียงไกร มักจะพูดเตือนเจ้านายอยู่บ่อยครั้งว่า งานที่เกิดผิดพลาดขึ้นหลายๆ ครั้งในระยะหลังรวมทั้งการที่ถูกจับไม้ที่ห้วยขาแข้งที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ถึงแม้จะไม่มีใครถูกจับได้ น่าจะมีเกลือเป็นหนอน ชีพเองไม่เคยไว้ใจกำนันคำ เพราะรู้ว่าเคยเป็นคนซื่อมือสะอาดมาก่อน แต่เสี่ยเกรียงไกรมักจะไม่เห็นด้วย บอกว่าเงินเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนกำนันให้เป็นคนกบฏทรยศแผ่นดินได้
หลังจากวันทำแนวกันไฟ พรนับพันกับเพลินตาก็สนิทสนมกันมากขึ้น ทั้งคู่พากันไปที่ศูนย์ศิลปาชีพ เพื่อเรียนปักผ้า และจากการไปนั่งเรียนทำให้พรนับพันได้รู้อะไรหลายๆ อย่าง อย่างแรกคือค่าของเงิน ขณะที่เธอเคยใช้เงินวันละหลายพัน แต่คนทำงานที่นี่นั่งหลักขดหลังแข็งนานนับเดือนกว่าจะได้เงินจำนวนนี้ กาแฟที่เคยดื่มแก้วละร้อยกว่าบาทแต่เป็นค่าแรงการทำงานของคนที่นี่ ซึ่งมีความสำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่
ทำให้พรนับพันเกิดความละอายขึ้นมา สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ใช้เงินแบบนั้นอีก และที่สำคัญ ตอนแรกที่เธอคิดมาเรียนปักผ้า เพราะต้องการชนะคำสบประมาทของแสนคม แต่การได้มาเห็นทำให้เธออยากปักได้สำเร็จจะได้สร้างความภูมิใจให้เกิดกับตัวเอง ทั้งยังได้รู้น้ำใจของนายทหารที่ชื่อแสนคม ที่สร้างไว้กับคนหลายคนจนไม่สงสัยเลยว่าเหตุใดผู้คนจึงพากันรักผู้ชายคนนี้นัก แล้วยังได้รู้จักอีกมุมของเพลินตาที่มองดูห้าว แต่ความจริงเป็นคนน่าสงสาร เพราะกำพร้าแม่ตั้งแต่อายุน้อย ต้องปักเสื้อนักเรียนด้วยตัวเองตั้งแต่อยู่ปอสอง ทำให้พรนับพันคิดถึงตัวเองขึ้นมา เธอโชคดีที่มีพ่อแม่ครบ นับวันพรนับพันก็ซึมซับความรู้สึกดีดีของผู้คนที่นี่เข้าไปในหัวใจ รวมทั้งนายทหารหนุ่มที่ชื่อแสนคม ที่เมื่อก่อนมักจะมองเธอด้วยสายตาดุๆ แต่บัดนี้สายตาดังกล่าวได้เปลี่ยนไปแล้ว ซึ่งทำไม เธอจะไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร
นางพวงเองก็มองว่าหญิงสาวที่นางเลี้ยงมาแต่เล็กแต่น้อย เริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ด้วยพื้นฐานของพรนับพันไม่ได้เป็นคนไม่ดี เป็นคนจิตใจดีด้วยซ้ำ ยิ่งพรนับพันไปเห็นบ้านของตาคะยอ ที่ทำตามแนวทางพระราชดำริ โดยการทำเกษตรแบบทฤษฎีใหม่ ปลูกทั้งพืชผักสวนครัวและผลไม้หลายๆ อย่างไว้ด้วยกันในพื้นที่ที่มีจำกัด รวมทั้งมีบ่อปลานาข้าวอยู่ในบริเวณเดียวกัน ได้ฟังตาคะยอพูดถึงว่าที่ได้ดีมาจนถึงทุกวันนี้เป็น เพราะพระบารมีของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะขอตายในผืนแผ่นดินไทยนี้ จนทำให้พรนับพันเกิดความซาบซึ้ง
เพราะความโกรธแค้นที่ถูกแสนคมตอกกลับมา ทำให้ไกรภพคิดเรื่องชั่วๆ โดยการคิดวางเพลิงเผาศูนย์ศิลปาชีพ แต่ก็ทำไม่สำเร็จ เพราะจ่าสุทัศน์ที่ไม่สบายนอนอยู่บ้านพัก เห็นเหตุการณ์เข้าก่อน จึงโทรตามคู่หูที่อยู่บ้านตาคะยอซึ่งกำลังมีการกินปลาเผากันอยู่ ทำเอาทุกคนต้องรีบมาที่ศูนย์ศิลปาชีพเพื่อช่วยกันดับไฟ และก็ไม่เกิดการสูญเสียเพราะรถดับเพลิงมาทันเวลาพอดี แค่บางส่วนถูกไหม้เท่านั้น
เหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้ทำให้แสนคมบาดเจ็บที่แขนขวาเพราะเข้าช่วยพรนับพัน พรนับพันจึงเป็นคนขับรถพาแสนคมไปโรงพยาบาล ซึ่งระหว่างเดินทางแสนคมก็แสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาจนหมด และเล่าด้วยว่าเคยเจอพรนับพันมาแล้วในผับที่ทองหล่อ ทั้งยังบอกว่าเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และบอกว่าต่อไปห้ามสวมใส่เสื้อผ้าแบบนั้นอีก ซึ่งพรนับพันเองก็ไม่เคยคิดจะกลับไปใส่อีกเหมือนกัน เพราะมาอยู่ที่นี่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าง่ายๆ แทบทุกวัน เงินก็ไม่ค่อยได้ใช้เพราะไม่รู้จะไปซื้ออะไร กินกับข้าวง่ายๆ ที่มีอยู่รอบบ้านนางพวง ทำให้พรนับพันกลายเป็นคนอยู่ง่ายกินง่ายไปโดยปริยาย
เสี่ยเกรียงไกรโกรธมากที่งานวางเพลิงไม่สำเร็จ กำชับชีพอย่าให้ลูกน้องทิ้งหลักฐานไว้เป็นอันขาด ชีพก็บอกว่าแค่นี้ก็ทำให้ชาวบ้านขวัญหนีดีฝ่อแล้ว กำนันคำที่มาหาก็บอกว่าทำไมจะเผาศูนย์ฯ ถึงไม่บอกด้วย เผื่อจะได้ช่วยให้สำเร็จ เพราะตอนไฟไหม้กำนันก็อยู่ที่นั่นด้วย ถ้ากำนันร่วมมือด้วยแต่แรกจะแนบเนียนกว่านี้ คำพูดของกำนันคำยิ่งทำให้เสี่ยเกรียงไกรเชื่อว่ากำนันคำนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่ชีพระแวงเด็ดขาด
พรนับพันมาอยู่ที่นี่ได้แค่สิบวัน แต่มีความรู้สึกว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่เป็นปี จากการได้หัวเราะได้ยิ้มกับสิ่งต่างๆ รอบกาย ทำให้ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายอย่างที่ควรเป็น และจากผลของการที่ไปทำแนวกันไฟ ทำให้พรนับพันมีอาการไข้เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนกลางคืน แต่กินยาเข้าไปก็ทุเลาลง แต่มาออกอาการอีกครั้งตอนเช้า ขณะที่นางพวงต้องไปวัดแต่เช้าและคืนนี้ก็ต้องนอนค้างที่วัดกับนางสายใจ ซึ่งเป็นเมียกำนันคำตามที่เคยพูดกันไว้
พรนับพันมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงจนอาเจียน ทำให้จุ้นที่อยู่ด้วยกันและกำลังจะไปโรงเรียน ตกใจจนร้องไห้ทำอะไรไม่ถูก แต่โชคดีที่เพลินตาที่จะต้องแวะมารับพรนับพันไปวัดและ ไปส่งจุ้นที่โรงเรียน ขี่รถเข้ามาก่อน เมื่อเห็นอาการของพรนับพันก็ตกใจจึงโทรไปตามแสนคม แสนคมพอทราบเรื่องก็ตกใจมาก เพราะนับจากวันที่ไฟไหม้วันนั้นเขาก็ไม่ได้เจอกับพรนับพันเลย ได้แต่เห็นกันแวบๆ เพราะยุ่งทั้งเรื่องไฟไหม้ที่รู้แล้วว่าเป็นการวางเพลิง กำลังตามจับตัวอยู่ แล้วยังมีเรื่องลักลอบขนลูกช้างป่าอีก
การเห็นพรนับพันเป็นแบบนี้ทำให้แสนคมแทบขาดใจ เขารู้ว่าเขารักผู้หญิงคนนี้เหลือเกิน แสนคมอุ้มพรนับพันโดยไม่สนใจแผลที่แขนขวาที่ต้องเย็บสิบเข็ม ตอนเกิดไฟไหม้และยังไม่ได้ตัดไหม แม้บดินทร์จะอาสาอุ้มพรนับพันให้ก็ตาม แสนคมพาพรนับพันไปส่งที่โรงพยาบาลเอกชน โดยหมอบอกว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ เพราะไข้ขึ้นสูงมาก มีอาการเพ้อเป็นระยะ ส่วนใหญ่จะเพ้อถึงพ่อแม่ และเรื่องที่ถูกตบ และต้องอยู่โรงพยาบาลเป็นอาทิตย์
เพลินตานั้นถึงกับร้องไห้เพราะกลัวพรนับพันเป็นอะไรไป เพราะเคยเห็นผู้เป็นแม่อาการแบบนี้ และตายไปต่อหน้าต่อตา ไม่อายที่บดินทร์เห็นตัวเองร้องไห้ออกมาเพราะมาถึงขั้นนี้แล้ว แสนคมให้บดินทร์พาเพลินตากลับไปที่พักเพื่อเอาเสื้อผ้ามาให้ เพราะคืนนี้เขาจะนอนเฝ้าพรนับพันที่โรงพยาบาลด้วยตัวเอง บดินทร์ขับรถพาเพลินตากลับ และได้คุยปรับความเข้าใจกัน ตั้งแต่เรื่องที่บดินทร์เข้าใจผิดมองเพลินตาเป็นผู้ชาย ซึ่งจริงๆ เขาไม่ได้คิดเช่นนั้น เพลินตาร้องไห้ซบไหล่ของบดินทร์เล่าเรื่องแม่ให้ฟัง เพราะกลัวพรนับพันจะเป็นอะไรไป บดินทร์กอดปลอบใจ และพาเพลินตาไปที่วัด เพื่อไปบอกอาการป่วยของพรนับพันให้นางพวงฟัง ทำให้นางพวงอยู่วัดต่อไปไม่ไหวตามไปที่โรงพยาบาลด้วย
แสนคมบอกนางพวงว่าขอเป็นคนเฝ้าพรนับพันเองตอนกลางคืน นางพวงมองแล้วคิดว่าไม่เหมาะ ได้แต่ทำท่าอ้ำอึ้งๆ แม้จะรู้ว่าแสนคมเป็นคนดีเพียงใดก็ตาม แสนคมจึงเอาแหวนญาติ ซึ่งเป็นแหวนที่นักเรียนเตรียมทหารทำไว้ให้คนสำคัญขึ้นมาซึ่งเขาทำไว้ให้คือแม่ และผู้เป็นแม่เพิ่งให้มาตอนกลับบ้านไปครั้งที่แล้ว แสนคมหยิบแหวนมาสวมให้พรนับพันขณะที่เจ้าตัวยังไม่ได้สติ ท่ามกลางความซาบซึ้งของทุกคนที่เป็นพยาน
พรนับพันฟื้นขึ้นมาหลังจากเพ้อถึงพ่อแม่อยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็ดิ้นทุรนทุรายจนแสนคมต้องโอบกอดไว้ พรนับพันสงสัยที่จู่ๆ แหวนมาอยู่ที่นิ้ว แสนคมจึงบอกว่าเป็นแหวนหมั้นของเขาเอง และบอกว่าเขารักพรนับพันต่อไปให้เรียกเขาว่าพี่ พรนับพันดีใจรวมทั้งเกิดความอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก และที่สำคัญพรนับพันเองก็มีความรู้สึกไม่แตกต่างกัน
ไกรภพมาเยี่ยมผู้เป็นแม่ที่บวชเป็นชีซึ่งป่วยเป็นอาหารเป็นพิษ แม้ไกรภพจะดูเป็นคนนิสัยไม่ดีหรือเลวเพียงใด แต่สิ่งหนึ่งที่เขาให้ความสำคัญที่สุดคือแม่ชีกรแก้ว ที่หย่าขาดจากผู้เป็นพ่อเพราะความคิดไม่ตรงกัน แต่ไกรภพก็ยังติดต่ออยู่เสมอ เมื่อรู้ว่าผู้เป็นแม่ป่วยก็ทำเรื่องย้ายมาอยู่ใกล้ๆ จะได้ดูแลอย่างใกล้ชิด แม่ชีกรแก้วมักจะบอกให้ไกรภพทำความดีอย่าได้ทำชั่วแม้จะรู้ว่าสายไป และที่ตัวนางบวชชีก็เผื่อไถ่บาปให้ลูก ถ้าลูกได้กระทำความผิด
ไกรภพรู้จากพยาบาลว่าพรนับพันป่วยอยู่ที่นี่จึงเข้าไปเยี่ยม ขณะที่มีนางพวงกับเพลินตาเฝ้าอยู่ เพราะช่วงกลางวันแสนคมกลับไปทำงาน และกำลังยุ่งอยู่กับข่าวเรื่องลูกช้างป่า กว่าไกรภพจะออกจากห้อง พรนับพันก็ต้องทำเป็นง่วงด้วยฤทธิ์ยา จนไกรภพต้องขอตัวกลับ พรนับพันเผลอเล่าเรื่องที่เคยพบกับแสนคมให้นางพวง และเพลินตาฟัง ทำให้นางพวงคิดว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพราะพรหมลิขิตอย่างแน่นอน
นางพวงโทรไปบอกคุณพรพรรณรายกับคุณเมธี เรื่องพรนับพันป่วย คุณพรพรรณรายถึงกับร้องไห้โฮเมื่อรู้ว่าลูกสาวเพ้อถึงพ่อแม่และเรื่องที่ถูกตบ รวมทั้งคุณเมธีด้วยเช่นกัน หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ทั้งสองคนนึกทบทวนถึงเรื่องราวที่ผ่านมา จึงต่างค่อยๆ ปรับตัวเข้าหากัน ซึ่งก็ไม่ได้ยาก เพราะต่างมีความรักในตัวกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นางพวงที่ฟังน้ำเสียงการพูดของทั้งคู่ จึงรู้ว่าเรื่องราวน่าจะไปในทางที่ดีขึ้น
พรนับพันอยู่โรงพยาบาลแค่สามวันก็ออกเพราะร่างกายฟื้นตัวเร็วจนหมอตกใจ อาจเป็นเพราะกำลัง และแรงใจจากแสนคมมีส่วนช่วยด้วยเยอะ แสนคมเป็นคนมารับกลับ เมื่อรู้ว่าไกรภพมาเยี่ยม ก็บอกให้ระวังตัวอย่าไปไหนคนเดียวอีก และบอกว่าช่วงนี้อาจไม่ได้เจอกัน เพราะแสนคมได้รับรายงานจากสายว่า พรุ่งนี้เป็นวันที่พวกลักลอบขนลูกช้างป่าจะลงมือ แสนคมบอกนางพวงว่าขอฝากหัวใจไว้กับนางพวงด้วย คำพูดดังกล่าวทำให้พรนับพันใจเสียเพราะเหมือนเป็นลาง จึงบอกกับแสนคมว่าสัญญาว่าจะต้องกลับมาหาเธอ
เสี่ยเกรียงไกรกำหนดเส้นทางขนย้ายลูกช้างป่า และครั้งนี้มีงาช้างที่จะได้อีกหลายคู่ ชีพเตือนว่าเส้นทางที่กำหนด เป็นป่าทึบที่อยู่ไม่ห่างจากสวนป่าเฉลิมพระเกียรติที่แสนคมกับวิชิตดูแล เสี่ยเกรียงไกรก็บอกว่าสถานที่ที่อันตรายที่สุด คือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด เส้นทางที่กำหนดยังไม่เคยมีใครเข้าไป เพราะค่อนข้างลำบาก ที่จะใช้เส้นทางนี้เพราะจะได้ดูลู่ทาง เพื่อหาทางลักลอบตัดไม้ด้วย ชีพไม่รู้จะแย้งยังไงแต่มีลางสังหรณ์เกิดขึ้น และบอกว่าครั้งนี้อย่าเพิ่งบอกวันทำจริงกับกำนันคำ เอาไว้ใกล้ๆ ค่อยบอก พอดีกับกำนันคำมาหาพอดี เสี่ยเกรียงไกรจึงบอกว่าวันพรุ่งนี้ คือวันที่กำหนดทำงานสำคัญ
เชิดซึ่งเป็นเด็กหนุ่มที่มักจะชอบเดินตามหลังกำนันคำเสมอ มาหากำนันคำที่บ้านขณะอยู่ในเวลาอาหารเย็น กำนันจึงบอกให้ไปคุยที่อื่น เชิดจึงถามว่ากำนันรู้เรื่องขนลูกช้างป่าในคืนนี้บ้างหรือเปล่า กำนันก็ถามว่าเชิดรู้มาจากไหน เชิดจึงตอบว่ารู้มาจากเพื่อนซึ่งเป็นลูกน้องของชีพ ซึ่งชวนให้มันไปทำด้วยจึงมาปรึกษากำนัน เมื่อได้ฟังกำนันคำก็นึกโกรธ เพราะเสี่ยเกรียงไกรบอกวันกำหนดเป็นพรุ่งนี้ แต่กลายเป็นวันนี้ได้อย่างไร แสดงว่าเสี่ยเกรียงไกรเริ่มไม่ไว้ใจแน่นอน จึงบอกให้เชิดไม่ต้องไปทำเพราะเป็นอันตราย และบอกไม่ให้พูดเรื่องนี้กับใคร เชิดจึงลากลับไป ขณะกำนันกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี เสี่ยเกรียงไกรก็โทรเข้ามาหาบอกว่าเปลี่ยนวันเป็นคืนนี้แต่เวลาเดิม
นางสายใจที่ตามแอบมาฟัง เพราะท่าทางลุกลี้ลุกลนของเชิด เมื่อได้ฟังคำพูดของกำนันคำก็โกรธ ด่ากำนันว่าทำไมถึงกลายเป็นคนแบบนี้ จำสัจจะที่พูดไว้ตอนเข้าร่วมวันที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จมารับมอบสวนป่าเฉลิมพระเกียรติไม่ได้หรือ ว่าจะไม่คิดคดทรยศต่อแผ่นดิน กำนันคำบอกว่าสักวันนางสายใจจะเข้าใจ และบอกว่าคืนนี้จะไม่อยู่ ถ้ากลับมาจะเล่าให้ฟังทั้งหมด กำนันพูดแล้วก็หยิบโทรศัพท์มากดก่อนจะถอดแบตเตอรี่ออก และบอกกับนางสายใจว่าถ้าเป็นอะไรไปทุกอย่างอยู่ในโทรศัพท์เครื่องนี้ นางสายใจตกใจ เพราะกำนันคำไม่เคยพูดจาแบบนี้มาก่อน
แสนคมได้รับข้อความเปลี่ยนแปลงวันลงมือเป็นคืนนี้เวลาเดิมแทน ทำให้แสนคมนึกกังขา เพราะปกติงานสำคัญแบบนี้ คนที่ส่งข่าวจะส่งให้กับหัวหน้าคือ พลเอกนฤดล แล้วถึงจะส่งต่อมายังเขา จึงโทรไปหาวิชิตซึ่งก็ได้รับข้อความเดียวกัน โทรกลับไปยังเบอร์ที่ส่งก็ติดต่อไม่ได้ วิชิตจึงบอกให้เชื่อเถอะ เพราะเรื่องนี้มีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทราบ แสนคมจึงสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเตรียมพร้อม ทั้งเรื่องรถพยาบาลด้วย เพราะกลัวจะมีการสูญเสียไม่ทันการณ์เหมือนครั้งที่แล้ว
ขบวนของเสี่ยเกรียงไกร ซึ่งมีพรานบุญส่งเป็นผู้นำทาง เดินเข้าไปในป่าทึบท่ามกลางความหงุดหงิดของไกรภพ รวมทั้งความหวั่นกลัวของเสี่ยเกรียงไกร เพราะนับเป็นการเดินเข้าป่าทึบครั้งแรก คงมีชีพคนเดียวที่พกความระแวงไว้ตลอดเวลา เมื่อเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ คนนำทางก็สงสัย เพราะมาถึงสถานที่นัดคือต้นตะเคียนใหญ่ แต่ยังไม่เห็นพวกพรานที่บอกว่าจะมาดักรอ แต่ก็ยิ้มออกเมื่อได้ยินเสียงคนเดินอยู่ข้างหน้า
แต่คนที่เดินอยู่กลายเป็นพวกของแสนคม และวิชิตที่พาคนเข้ามาอีกทาง และบอกว่าจับพวกพรานป่าไว้ได้ทุกคนแล้วขอให้มอบตัว ชีพหันไปทางกำนันคำทันทีเพราะงานครั้งนี้ไม่มีใครรู้เรื่องมากนัก และบอกกับเสี่ยเกรียงไกรว่ากำนันคำคือคนทรยศ เสี่ยเกรียงไกรโกรธมากจึงด่ากำนันคำ ซึ่งกำนันคำบอกว่าขอเป็นคนทรยศต่อเสี่ยเกรียงไกรดีกว่าเป็นคนทรยศคิดคดต่อแผ่นดิน แล้วก็ทรุดลงเพราะถูกชีพยิงอย่างเผาขน และเป็นขณะเดียวกับที่แสนคมพาคนเข้ามาล้อมจับลูกน้องที่ยังอยู่ในอาการตกใจ เสี่ยเกรียงไกรพาไกรภพ วิ่งหนีไปได้ แสนคมบอกให้จ่าคู่หูพาทหารไปจับสองพ่อลูกให้ได้
ชีพที่กำลังจะวิ่งตามไป แต่เป็นเพราะความแค้นทำให้ชีพหันมายิงใส่แสนคม แต่เป็นเพราะอยู่ในช่วงละล้าละลังจึงถูกที่แขนซ้ายของแสนคมเท่านั้น แสนคมจึงยิงสวนไปข้างหลังถูกชีพอย่างจังจนล้มลง แสนคมวิ่งไปดูก็เห็นแน่นิ่งจึงหันไปทางกำนันคำที่นอนเจ็บอยู่อย่างเป็นห่วง กำนันคำที่เห็นชีพขยับตัวหยิบปืนมาจะยิงใส่แสนคม จึงร้องบอกแต่ไม่ทันการณ์ แม้แสนคมจะกลิ้งหลบ กระสุนเข้าที่ท้องของแสนคม ทำให้บดินทร์วิ่งตรงมาและสั่งให้ทหารเอาเปลสนามที่เตรียมมา หามแสนคมกับกำนันคำกลับไปทางเก่าไปที่รถพยาบาลด่วน
แสนคมที่ยังมีสติบอกบดินทร์ว่าให้ดูแลกำนันคำดีดี เพราะตอนเข้ามาก่อนกำนันคำจะถูกยิง ได้ยินคำพูดที่กำนันพูดว่าจะไม่ทรยศต่อแผ่นดินเต็มสองหู ผู้ใหญ่สมปองที่อยู่ชายป่ากับชาวบ้านอีกสองคน เห็นร่างของกำนันคำถูกหามมาก็เข้าไปหา บดินทร์บอกว่าอย่าเพิ่งพูดอะไร เอากำนันคำกับแสนคมไปส่งโรงพยาบาลก่อน โดยให้ผู้ใหญ่นั่งไปกับกำนันคำ ส่วนเขาจะนั่งไปกับแสนคม ผู้ใหญ่สมปองบอกชาวบ้านสองคนที่อยู่ด้วยให้ไปส่งข่าวกับนางสายใจ
ผู้ใหญ่สมปองที่ปากก็บอกว่าเกลียดเพื่อน แต่แท้ที่จริงรักเพื่อนมากแต่ที่พูดเพราะเสียใจ กับผิดหวัง ที่เพื่อนเป็นแบบนี้ กำนันคำบอกกับเพื่อนรักว่า ถ้าเขาเป็นอะไรไปฝากลูกเมียด้วย ผู้ใหญ่สมปองฟังแล้วถึงกับร้องไห้ แม้จะยังไม่รู้รายละเอียดก็ตาม เมื่อถึงโรงพยาบาลก็ส่งคนเจ็บเข้าห้องฉุกเฉิน นางสายใจพร้อมลูกสาว นางพวง เพลินตา พรนับพัน นางสายใจมาพร้อมถือโทรศัพท์มาด้วย และเล่าเรื่องที่ได้ยินกำนันคำให้บดินทร์ฟัง บดินทร์ขอดูโทรศัพท์เมื่อใส่แบตเตอรี่ลงไปและเปิดเครื่อง เบอร์ของแสนคมที่โทรไปก็ปรากฏอยู่ แค่นี้บดินทร์ก็รู้แล้ว ยิ่งเห็นข้อความที่ส่งออกอีก
ผู้ใหญ่สมปองพอรู้ว่าเพื่อนรักเป็นสายให้ทางการก็ร้องไห้โฮ รวมทั้งนางสายใจด้วย ที่สามีไม่เคยบอกปล่อยให้นางด่าอยู่ได้ ดวงใจนั้นร้องไห้มีเพลินตากับพรนับพันช่วยปลอบ หมอออกมาบอกว่าอาการของแสนคมนั้นสาหัสมากต้องผ่าตัดด่วน จึงถูกส่งต่อไปยังห้องผ่าตัด ส่วนกำนันคำหมอบอกว่าอาการหนักเกินเยียวยา เพราะถูกยิงที่ตับ ที่อยู่จนถึงตอนนี้เพราะกำลังใจอย่างเดียวให้ญาติเข้าไปหาได้
นางสายใจร้องไห้แทบขาดใจเมื่อเห็นร่างของกำนันคำ โดยกำนันบอกว่าเขาไม่เคยลืมสัจจะ ไม่เคยทรยศคิดคดแผ่นดิน บอกนางสายใจไม่ให้ร้องไห้เพราะจะทำให้นอนตายตาไม่หลับ และหันไปบอกกับดวงใจว่าต่อไปนี้ห้ามดื้อกับแม่ ต้องดูแลแม่ ซึ่งดวงใจก็รับปากทั้งน้ำตา กำนันคำหันไปหาเพื่อนบอกฝากลูกเมียด้วย ผู้ใหญ่สมปองด่าตัวเองที่ช่างโง่มีตาหามีแววไม่ แต่ก็รับปากจะทำตามที่กำนันบอกทุกอย่าง กำนันบอกบดินทร์ให้ช่วยฝากลาผู้พันแสนคมด้วย ขอให้รอดปลอดภัย หลักฐานทุกอย่างที่จะเอาผิด เสี่ยเกรียงไกรอยู่ในโทรศัพท์ แล้วก็สิ้นใจตายพร้อมด้วยคำว่าขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
ผู้ใหญ่ และแสนคม แม้จะเสียใจเพียงใดแต่ก็ต้องเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงต่อไป โดยมีนางพวงอยู่ช่วย ส่วนบดินทร์ พรนับพัน และเพลินตา ไปที่ห้องผ่าตัดที่ตอนนี้แสนคมอยู่ในนั้น พรนับพันนั้นร้องไห้ โดยมีบดินทร์บอกว่าแสนคมต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน เวลาผ่านไป พลโทพัชระ คุณสราญรัตน์ ก็มาที่โรงพยาบาลพร้อมเพื่อนๆ ของแสนคม ทุกคนอยู่ในอาการเป็นห่วง พยาบาลออกมาบอกว่าต้องการเลือดกรุ๊ปบีด่วน ซึ่งในนั้นไม่มีใครมีสักคน มีเพียงคุณสราญรัตน์ที่มีเลือดกรุ๊ปโอที่สามารถให้ได้ สร้างความดีใจให้กับคุณสราญรัตน์มากที่เลือดของแม่จะช่วยชีวิตลูกได้
พรนับพันกับเพลินตากลับมาจากห้องน้ำ พอรู้ว่าแสนคมต้องการเลือดจากบดินทร์ที่ยังพูดไม่ทันจบ พรนับพันก็บอกว่าเลือดกรุ๊ปเดียวกันเอาของเธอได้ แต่บดินทร์บอกว่าคุณสราญรัตน์ให้ไปแล้ว แต่ถึงจะเอาของพรนับพันก็คงไม่ได้ เพราะพรนับพันเพิ่งออกจากโรงพยาบาล พลโทพัชระพูดขอบคุณและเห็นแหวนที่นิ้วของพรนับพันก็เดาได้ว่า ผู้หญิงคนนี้ต้องเป็นคนสำคัญของลูกชายแน่นอน
แสนคมฟื้นหลังจากนั้น และดีใจที่เห็นหน้าผู้เป็นแม่ เพราะก่อนจะฟื้นเขาบอกว่าเห็นแม่เดินอยู่ข้างหน้า แต่เรียกเท่าไรก็ไม่ยอมหันมามอง เพื่อนๆ เลยบอกว่าเป็นเพราะพลังความรักของแม่ เลยทำให้แสนคมรอดชีวิต แสนคมถามหากำนันคำพอรู้ว่าตายแล้วก็เสียใจ แล้วก็มองหาพรนับพัน บดินทร์จึงไปตามมาให้ แสนคมบอกว่าเขามาตามสัญญา พรนับพันร้องไห้บอกดีใจที่แสนคมไม่ผิดสัญญาที่ให้ไว้ ท่ามกลางสายตาแปลกใจของทุกคนเพราะไม่เคยเห็นภาพนี้มาก่อน แสนคมบอกกับพ่อแม่ว่าพรนับพันคือผู้หญิงที่เขารักก่อนจะหลับไปอีกครั้ง
เพื่อนๆ ของแสนคมตอนแรกก็จำพรนับพันไม่ได้ แต่ไม่นานก็นึกออก คุณสราญรัตน์สัมภาษณ์พรนับพันว่าเป็นลูกใคร พอบอกชื่อพ่อแม่ก็ตกใจเพราะคาดไม่ถึงว่าจะเป็นลูกคนดังในสังคม คุณสราญรัตน์เอ็นดูพรนับพันเพราะลูกชายรักใครเธอรักด้วยอยู่แล้ว เพื่อนๆ ของแสนคมต่างก็เล่าเรื่องคืนนั้นให้พรนับพันฟัง
พรนับพันและเพลินตาขอตัวไปช่วยงานศพของกำนันคำ เพราะเห็นว่าทางนี้มีคนอยู่เยอะแล้ว งานศพของกำนันคำได้รับพระราชทานเพลิงศพอย่างสมเกียรติ ผู้ใหญ่สมปองและนางพวง พร้อมด้วยบดินทร์ พรนับพัน เพลินตา และชาวบ้านล้วนมาช่วยกันด้วยความเต็มใจ ดวงใจกลายเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญ และเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นหลังพ่อตาย ตาคะยอเอาพืชผักสวนครัวพร้อมผลไม้มาช่วยงาน สร้างความซาบซึ้งให้เกิดกับดวงใจไม่น้อย รวมทั้งน้ำใจของพรนับพัน และเพลินตาด้วย ที่ไม่ทิ้งกันเวลามีความทุกข์
เสี่ยเกรียงไกรหนีไปไม่รอดเพราะพลัดตกลงไปในช่องหิน โดยมีไกรภพนั่งร้องไห้มองดู เพราะไม่รู้จะช่วยอะไร เป็นไปตามกรรมเพราะขาข้างนั้นต้องตัดทิ้ง และยังต้องถูกจับเข้าคุกพร้อมหลักฐานต่างๆ แต่ความรักลูก เสี่ยเกรียงไกรบอกว่าทุกอย่างตัวเองเป็นคนกระทำทั้งหมดไกรภพไม่เกี่ยว
วันเผากำนันคำ แม่ชีกรแก้วพาไกรภพมาขอขมาศพโดยออกรับแทนลูก ทำให้ทุกคนเห็นความรักของแม่ จึงให้อภัย โดยเฉพาะนางสายใจกับดวงใจที่บอกว่าถึงโกรธไปเกลียดไปกำนันคำก็ไม่ฟื้น ไกรภพบอกว่าเพราะเหตุการณ์ต่างๆ ทำให้เขาได้คิดจะขอบวชให้กำนันคำ แสนคมจึงบอกว่าไกรภพมีแม่อันประเสริฐที่สุดแล้วที่ออกรับแทนลูกทั้งที่ไม่เกี่ยว และตามความเป็นจริงคนที่ยิงกำนันคำก็ไม่ใช่ไกรภพ
เหตุการณ์ต่างๆ ผ่านพ้นไปด้วยความโศกเศร้า พรนับพันหลังจากพบกับเหตุการณ์เศร้าสลด ทำให้คิดได้ว่าเวลาที่เหลืออยู่ควรใช้ให้คุ้มค่า อย่างที่ดวงใจบอกว่าพรนับพันยังโชคดีที่มีพ่อแม่อยู่ครบให้พูดขอโทษ พูดแสดงความรัก แต่ตัวเองสายไปแล้วถ้าแลกทรัพย์สินเงินทองที่มีทั้งหมดกับชีวิตพ่อจะขอเลือกพ่อ เพลินตาก็ช่วยพูดให้พรนับพันได้คิด ทั้งที่จริงแล้วพรนับพันได้คิดด้วยตัวเองแล้ว
พรนับพันอาสาเป็นครูสอนชาวบ้านตอนกลางคืน ตามพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถที่ทรงต้องการให้ชาวบ้านได้รู้หนังสือ โดยมีตาคะยอ จันดี จันทร์แรม มาเป็นนักเรียนด้วย เพลินตามีฝีมือทางการปักผ้าจนฝีมือนำหน้าครูแทบทุกคนจึงเอาดีทางนี้ ดวงใจก็ไปเรียนทอผ้าและเรียนหนังสือต่อให้จบเพื่อความภูมิใจของผู้เป็นแม่ พรนับพันนั้นรู้ว่าตัวเองมีพรสวรรค์ด้านการวาดรูป จึงเปลี่ยนไปเรียนวาดรูปแทน และภาพที่ตัวเองวาดด้วยความเผลอไผล คือภาพครอบครัวที่เคยวาดตั้งแต่เด็ก
นางพวงทำที่ดินของตัวเองให้เป็นแบบของตาคะยอโดยการปลูกกล้วยไข่ ปลูกพริก โดยมีจ่าโชติช่วยด้วย พรนับพันและเพลินตาตามจ่าโชติ ไปดูบดินทร์และจ่าทัศน์ฝึกควายแทนแสนคม แล้วต้องหัวเราะกับความน่ารักของควาย แสนคมบอกว่าปัจจุบันคนหันไปใช้รถไถกันมากทำให้ควายถูกมองข้าม สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงคำนึงถึงเรื่องนี้ ทรงอยากให้ควายอยู่คู่กับสังคมไทยไปเหมือนเดิม เพราะรถไถสิ้นเปลืองทั้งเงินทั้งน้ำมัน จึงทรงให้มีโรงเรียนควาย ธนาคารควายเกิดขึ้น
มีนักสังคมสงเคราะห์นำเอาอุปกรณ์การศึกษาพร้อมอุปกรณ์กีฬามามอบให้โรงเรียน รวมทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ และเครื่องพิมพ์งานมามอบให้ศูนย์ศิลปาชีพ ซึ่งนักสังคมสงเคราะห์ที่ว่าคือ บิดามารดาของพรนับพัน ซึ่งมีคุณปัทมากับปรางวลัยตามมาด้วย ทั้งคู่มามอบให้เป็นการส่วนตัว พรนับพันได้พบกับพ่อแม่โดยไม่รู้ตัว ทั้งที่ตัวเองกำลังจะโทรไปหาอยู่พอดี สร้างความดีใจจนต้องร้องไห้ พร้อมกับก้มลงกราบที่เท้าของพ่อแม่พูดขอโทษ ไม่ต่างอะไรกับคุณพรพรรณรายที่ร้องไห้ พร้อมทั้งขอโทษลูกที่ตบหน้า
คุณเมธีบอกว่าเขาปรับปรุงตัวเองใหม่แล้ว พรนับพันมองหน้าพ่อแม่ ที่เวลานี้ไม่มีรอยเคร่งเครียดเหมือนเก่าให้เห็นก็ดีใจ และถามผู้เป็นแม่เรื่องรูป ซึ่งได้รับคำตอบว่าไม่สนใจแล้ว เพราะรู้ว่าลูกไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะมีคนใส่ร้าย ปรางวลัยก็พูดว่าเธอไม่ได้ใส่ร้ายมันเป็นเรื่องจริง แสนคมเลยบอกว่าเขาอยู่ในเหตุการณ์รู้ว่าอะไรเป็นอะไร พรนับพันทำท่าจะเข้าไปตบแก้แค้นแต่แสนคมห้ามไว้ สองแม่ลูกจึงพากันหลบออกไปด้วยความอับอาย ทุกคนใจหายใจคว่ำนึกว่าพรนับพันจะทำจริง และพ่อแม่ลูกก็ปรับความเข้าใจกันท่ามกลางความดีใจของทุกคน
คุณเมธีกับคุณพรพรรณรายทะเลาะกันจนถึงขั้นต้องแยกห้องกันนอน คุณพรพรรณรายจึงมักชอบมาระบายอารมณ์ใส่พรนับพัน ทำให้พรนับพันกลายเป็นคนชอบประชดประชันทั้งที่รู้ว่าเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ตั้งแต่เรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่คุณพรพรรณรายอยากให้สอบเข้าของรัฐบาล พรนับพันก็ไปสอบเข้าเอกชนทั้งที่เป็นคนเรียนเก่ง คุณพรพรรณรายบอกให้แต่งตัวเรียบร้อย พรนับพันก็แต่งตัวตรงกันข้าม
คุณพรพรรณรายชอบยกเอาปรางวลัย (ชลธิชา เที่ยงธรรม) บุตรสาวของคนรู้จักมาพูดเปรียบเปรยให้พรนับพันฟังว่าเรียนเก่ง จบมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ และยังสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย 1 ใน 5 ของสหรัฐอเมริกา วันหนึ่งพรนับพันไปงานเลี้ยงสำคัญกับผู้เป็นแม่และเจอปรางวลัย ทำให้พรนับพันรู้ว่าที่แท้ปรางวลัยคนที่แม่ของเธอเอาไปพูดให้ฟังนั้น เป็นคนคนเดียวกับปรางวลัยซึ่งเป็นเพื่อนของวิลาสินี เพื่อนของเธออีกทีหนึ่ง
ปรางวลัยจำพรนับพันไม่ได้ จึงคุยโอ้อวดอย่างโน้นอย่างนี้ และบอกว่าเพิ่งจบจากบอสตัน ทำให้พรนับพันรู้ว่าที่แม่ของปรางวลัยไปคุยอวดกับแม่ของเธอนั้นไม่ใช่เรื่องจริง พรนับพันรู้ว่าบอสตันไม่ใช่มหาวิทยาลัย 1 ใน 5 อย่างที่ปรางวลัยคุยอวดแต่อย่างใด จึงถามออกไปว่าจำเธอไม่ได้หรือว่าเคยเจอกันตอนงานฉลองเรียนจบชั้นมัธยมเมื่อหลายปีก่อน และยังพูดเรื่องที่แม่ของเธอบอกว่าปรางวลัยจบจากมหาวิทยาลัย 1 ใน 5 ของอเมริกา คำพูดของพรนับพันสร้างความโกรธให้กับปรางวลัยมาก เพราะคิดว่าพรนับพันจงใจฉีกหน้า
พรนับพันไปงานวันเกิดของเพื่อนในผับแถวทองหล่อ และถูกผู้ชายที่มาเที่ยวและอยู่ในอาการเมามาชวนไปเที่ยวต่อ เพราะคิดว่าเป็นผู้หญิงอย่างว่า พรนับพันก็ตอบโต้ออกไปอย่างโมโหว่าเธอไม่ใช่ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวอยู่ในสายตาของพันตรีแสนคม (มาสุ จรรยางค์ดีกุล) นายทหารจากกองพลพัฒนาประจำอยู่ที่สวนป่าเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งเป็นโครงการในพระราชดำริ ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ แสนคมลาพักมาเยี่ยมครอบครัวที่กรุงเทพ โดยมีร้อยเอกบดินทร์ (ชานน ริกุลสุรกาน) ซึ่งทำงานอยู่ที่เดียวกัน และสนิทสนมกันตั้งแต่สมัยเรียน เตรียมทหารตามมาเที่ยวที่บ้านด้วย
แสนคมมาเที่ยวกับเพื่อนสนิทคือพันตรีกิตติ พันตรีธีรดนย์ พันตรีอภิเชษฐ์ รวมทั้งบดินทร์ด้วย แสนคมมองพรนับพันในชุดสุดเปรี้ยวอย่างเสียดาย เขาคิดว่าหน้าตาก็สะสวยน่าจะแต่งตัวให้มิดชิดกว่านี้ แต่แปลกที่สายตาของแสนคมมักจะวนเวียนไปทางพรนับพันบ่อยๆ จนถูกเพื่อนๆ แซว แสนคมแก้ตัว บอกว่าที่มองเพราะคิดว่าถ้าเป็นน้องเป็นนุ่งจะจับมาตีก้นให้เข็ด
พรนับพันไม่รู้เลยว่า จากเหตุการณ์ที่มีผู้ชายเมามาจับไหล่ อยู่ในสายตาของปรางวลัยที่มาเที่ยวกับเพื่อน และมาเห็นเข้าโดยบังเอิญ เพราะความเจ็บใจที่ถูกฉีกหน้าครั้งนั้น ปรางวลัยจึงจงใจใช้มุมกล้องช่วยถ่ายทำให้เหมือนกับผู้ชายคนดังกล่าวโอบไหล่ ตั้งใจจะส่งไปให้ผู้เป็นแม่ของพรนับพันดู และยังเข้าไปทักพรนับพันกับเพื่อนๆ ที่โต๊ะ
วันสุดท้ายของการลาพัก แสนคมแวะไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้า แล้วเจอกับพรนับพันอีก ในชุดกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดพอดีตัว ทำให้แสนคมนึกในใจว่าสมควรแล้วที่ถูกมองเป็นผู้หญิงอย่างว่า ตัวพรนับพันเองก็สงสัยที่จู่ๆ ก็ถูกผู้ชายหน้าตาหล่อเหลามองด้วยสายตาดุๆ ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
พรนับพันกลับไปบ้าน แต่งตัวเตรียมตัวไปงานแต่งงานเพื่อนในตอนเย็น แต่ก็ทะเลาะกับคุณพรพรรณรายก่อน เพราะปรางวลัยส่งรูปที่ถ่ายในผับไปให้ดู ทั้งที่พรนับพันพยายามจะอธิบายเรื่องราวให้รู้ แต่คุณพรพรรณรายไม่ฟัง และบอกว่าคนที่ส่งรูปมาให้ดูคือปรางวลัย ทำให้พรนับพันเดาได้เลยว่าปรางวลัยมีจุดประสงค์อย่างไรในการทำเช่นนี้
ด้วยความโกรธบวกกับเสียใจที่คุณพรพรรนรายเชื่อคนอื่นมากกว่าลูกตัวเอง ทำให้พรนับพันพูดออกไปว่า ที่พ่อต้องไปมีผู้หญิงอื่นก็เพราะแม่เป็นแบบนี้ ทำให้คุณพรพรรณรายลุแก่โทสะตบหน้าสร้างความเสียใจให้กับพรนับพันมาก จนบอกว่าจะไม่อยู่บ้านนี้อีกแล้ว และทิ้งคำพูดไว้ให้คุณพรพรรณรายคิดว่า ถ้ามีลูกจะไม่เอาคนอื่นมาเปรียบเทียบกับลูกของตัวเองเป็นอันขาด และจะเชื่อใจคนในครอบครัวมากกว่าคนอื่น
พรนับพันผลุนผลันขับรถออกจากบ้านไปอย่างไร้จุดหมาย ที่ผ่านมาแม้จะมีปากเสียงกับมารดา แต่ไม่เคยรุนแรงถึงขั้นถูกตบหน้า และแล้วพรนับพันก็นึกถึงป้าพวง (ดวงตา ตุงคะมณี) คนเลี้ยงตั้งแต่สมัยเด็กๆ ที่เธอมักจะยึดอีกฝ่ายไว้เป็นที่เป็นที่ระบายความในใจต่างๆ เวลามีปัญหา ป้าพวงลาออกไปอยู่บ้านต่างจังหวัดเมื่อสองปีก่อน แต่ก็ติดต่อกันอยู่เสมอ ตอนแรกพรนับพันคิดจะโทรไปหาก่อนแต่ก็เปลี่ยนใจ เพราะถ้าโทรไปก็คงถูกยับยั้งไม่ให้ไป จึงคิดจะไปตายเอาดาบหน้าดั้นด้นไปหาด้วยตัวเอง
พรนับพันรู้ว่าป้าพวงกลับไปอยู่ที่หมู่บ้านห้วยม่วงในอำเภอสวนผึ้ง เมื่อขับรถถึงตัวอำเภอ พรนับพันก็ถามเส้นทางกับเด็กปั้ม หลังเดินทางไปได้ค่อนทางด้วยความไม่ชำนาญ พรนับพันก็ขับรถหลงทางไปไหนไม่ถูก สร้างความหวาดกลัวให้กับตัวเธอมาก ภาวนาให้มีรถวิ่งผ่านมาเพื่อจะได้ขอความช่วยเหลือ ไม่นานพรนับพันก็เห็นรถวิ่งมาก็รู้สึกดีใจ แต่ยังไม่กล้าเปิดประตูลงไปเพราะไม่รู้ว่าเป็นคนดีหรือคนร้าย
พันตรีแสนคมคือคนที่ขับรถผ่านเข้ามา เพื่อกลับเข้าไปยังสถานที่ทำงานคือสวนป่าเฉลิมพระเกียรติ แสนคมเพิ่งกลับมาจากการลาพักที่กรุงเทพ ครั้นเห็นรถคันหรูหราจอดอยู่ก็เกิดความสงสัยว่าใครกันมาจอดรถในเวลามืดค่ำเช่นนี้ และที่สำคัญในสถานที่ที่เปี่ยมไปด้วยอันตรายอย่างที่นี่ เพราะแถบนี้เป็นพื้นที่แนวตะเข็บชายแดนที่มีพวกชนกลุ่มน้อยอย่างพวกทหารกะเหรี่ยง ที่มักจะถูกทหารพม่ากวาดล้างหลบหนีเข้ามาอยู่บ่อยๆ
แสนคมขับรถเข้าไปใกล้ๆ ก็มองเห็นว่าคนอยู่ในรถเป็นผู้หญิง ยิ่งทำให้สงสัยมากขึ้น แต่เมื่อเห็นคนในรถชัดเจนแสนคมก็แปลกใจ เพราะผู้หญิงที่นั่งอยู่ในรถและแต่งตัวราวกับจะไปงานเลี้ยง คือคนที่เขาเคยเจอถึงสองครั้งแต่คนละสถานที่เมื่อหลายวันก่อน ไม่นึกว่าจะมาอีกในกลางป่าเช่นนี้ แล้วความรู้สึกที่ตามมาของแสนคมคืออาการใจหาย เพราะหากว่าไม่เจอเขาแล้ว ไปเจอพวกกองกำลังติดอาวุธของทหารกะเหรี่ยงหรือพม่าเข้าจะเป็นอย่างไร
พรนับพันเห็นชายหนุ่มในชุดทหารเดินมาหา ก็เอ่ยขอความช่วยเหลือบอกว่าหลงทาง ให้ช่วยขับรถนำทางให้หน่อย แสนคมถามว่าจะไปไหน พรนับพันบอกว่าจะไปบ้านห้วยม่วง แสนคมบอกว่าเขาก็กำลังจะไปที่นั่นอยู่พอดี แต่เขาจะไม่ขับนำทางให้ เพราะถ้าเกิดขับตามไม่ทันแล้วหลงขึ้นมาจะยุ่งอีก มีทางเดียวคือให้เขาขับให้เท่านั้น คำพูดดังกล่าวทำให้พรนับพันเกิดอาการลังเลขึ้นมา เพราะจู่ ๆ จะให้ใครไม่รู้มาขับรถให้ ไม่รู้ว่าไว้ใจได้แค่ไหน แสนคมเห็นอาการของพรนับพันก็รู้สึกหงุดหงิด บอกว่าเขาไม่มีเวลามากนักถ้าอยากจะนั่งอยู่ในรถก็เชิญ และทำท่าจะผละจากไป
บดินทร์ที่ตามลงมาเห็นจึงเข้าไปช่วยพูด บอกกับพรนับพันว่าให้แสนคมขับรถให้เป็นสิ่งถูกต้องแล้วเพราะชำนาญทางมากกว่า และพูดถึงเรื่องทหารกะเหรี่ยงให้พรนับพันฟังพรนับพันจึงยินยอม พรนับพันเผลอนั่งหลับเพราะความอ่อนเพลีย บวกกับความหวาดกลัวที่ผจญอยู่ก่อนหน้า กระทั่งรถมาถึงยังหมู่บ้านจึงตกใจตื่น แสนคมถามว่าจะไปบ้านใคร พรนับพันบอกว่าไปบ้านป้าพวง แสนคมจึงพาพรนับพันไปส่งเพราะรู้จักกับป้าพวงเป็นอย่างดี ป้าพวงลงมาจากบ้านอย่างแปลกในที่เห็นรถของแสนคม และก็ตกใจเมื่อเห็นพรนับพันที่โผเข้าหาพร้อมร้องไห้สะอึกสะอื่น จึงถามแสนคมว่าไปเจอพรนับพันได้อย่างไร เมื่อแสนคมเล่าให้ฟังป้าพวงตกใจมากพร้อมทั้งพูดขอบคุณไม่ขาดปาก
แสนคมลากลับบ้านพักพร้อมกับภาพของหญิงสาว ที่เขาพบในแต่ละสถานที่และต่างสถานการณ์ตามติดเข้าไปในห้วงสำนึกด้วย โดยเฉพาะภาพการร้องไห้สะอึกสะอื้น ทำให้นายทหารหนุ่มที่ไม่เคยสนใจในเพศตรงข้ามมาก่อนเพราะความเบื่อหน่าย เกิดความรู้สึกอยากลองค้นหาผู้หญิงคนนี้ดูว่าตกลงผู้หญิงคนนี้เป็นคนอย่างไรกันแน่ พบเจอแต่ละครั้งช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แสนคมเป็นนายทหารหนุ่มวัยใกล้สามสิบปี ผู้มีหน้าตาราวกับไอดอลเกาหลี จึงมักจะถูกพวกศัตรูสบประมาทอยู่เสมอ และเป็นคนบ้าดีเดือด ผิดรูปร่างหน้าตาเป็นนายทหารที่จงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง แสนคมเป็นบุตรชายคนเดียวของพลโทพัชร ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพภาค และกำลังเจริญรุ่งเรืองในราชการ มารดาคือคุณสราญรัตน์ แสนคมถอดแบบบิดามาแทบทั้งหมดทั้งการรักและภักดีต่อชาติ
แสนคมเป็นคนรักและหวงชีวิตโสดมาก จึงมักชอบทำปั้นหน้าเคร่งอยู่เสมอเพื่อไม่ให้ผู้หญิงมาเข้าใกล้ และก็มักจะได้ผล คงมีเพียงลูกสาวของกำนันคำ กำนันในหมู่บ้านและอรชุมาหรือครูอ้อ ครูที่โรงเรียนในหมู่บ้าน ที่ยังคงมาป้วนเปี้ยนสร้างความรำคาญให้อยู่บ่อยครั้ง แสนคมมีลูกน้องคู่ใจอยู่สองคนคือ จ่าสิบเอกโชติช่วงที่หน้าตาสุดโหดชอบไว้หนวดเคราราวกับโจร แต่เป็นคนมีอารมณ์ศิลปินชอบร้องเพลงลูกทุ่งเป็นนิตย์ พูดจาอ่อนหวานผิดใบหน้า มีเพื่อนคู่หูคือจ่าสิบเอกสุทัศน์ ที่หน้าตาเรียบร้อยแต่ชอบพูดจามึงมาพาโวยผิดหน้าตาอีกเช่นกัน ทั้งคู่รักและเคารพแสนคมมาก แม้จะเพิ่งอยู่ด้วยกันไม่นาน เพราะแสนคมเพิ่งย้ายมาที่นี่ได้ไม่ถึงปี
พรนับพันตื่นมาในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยและในชุดแต่งกายของป้าพวง แต่เมื่อนึกทบทวนความจำก็นึกได้ว่าที่นี่เป็นบ้านป้าพวง จึงเปิดประตูออกมายืนตรงระเบียงมองไปรอบๆ ก็เห็นทิวเขายาวสลับซับซ้อน ยิ่งทำให้นึกถึงคำพูดที่ว่าห่างไกลความเจริญขึ้นมาในทันใด นางพวงดีใจมากที่เห็นเด็กที่นางเลี้ยงมาด้วยความรัก ยังนึกถึงตัวนางไม่ระเหเร่ร่อนไปไหน นึกรู้ทันทีว่าจะต้องมีปัญหากับผู้เป็นแม่อย่างแน่นอน ภายใต้สีหน้าท่าทางถือตัวรวมทั้งอาการที่ดูคล้ายเหวี่ยงวีนนั้น เป็นการกระทำที่หลอกสายตาผู้อื่นเท่านั้น เพราะแท้ที่จริงพรนับพันเป็นคนอ้างว้าง ว้าเหว่ ขาดความอบอุ่น แต่เป็นคนจิตใจดี
นางพวงถามพรนับพันว่าจะอยู่ที่นี่ได้หรือ พรนับพันก็บอกออกไปด้วยทิฐิว่าอยู่ได้ เพราะในใจนั้นคิดว่าไม่มีทางจะซมซานกลับไปบ้านเป็นอันขาด และเล่าถึงสาเหตุที่ทำให้ต้องดั้นด้นมาหานางพวงถึงที่นี่ ซึ่งนางพวงก็ได้แต่พูดปลอบใจและคิดในใจว่าเรื่องทุกอย่างคงต้องให้กาลเวลาทำหน้าที่เยียวยาเรื่องราวทั้งหมด
พรนับพันเห็นเด็กชายที่มายืนจ้องตัวเองขณะลงไปที่รถ ก็ถามนางพวงได้รับคำตอบว่าเด็กชายคนดังกล่าวชื่อจุ้น เป็นเด็กชาวกะเหรี่ยงที่ ผู้พันแสนคมไปพบขณะร้องไห้อยู่ข้างๆ ศพของพ่อแม่ จึงนำมาฝากนางพวงเลี้ยงโดยเป็นคนส่งเสียค่าเลี้ยงดูเอง พรนับพันฟังแล้วก็เกิดความสงสารในตัวเด็กชายอย่างไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน
นางพวงเล่าให้พรนับพันฟังคร่าวๆ ว่า เมื่อหลายสิบปีก่อน พื้นที่แถบนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าเขา ต้นไม้ ต้นน้ำ ลำธาร รวมทั้งสัตว์ป่าน้อยใหญ่ แต่เมื่อเกิดการทำเหมืองแร่ขึ้นและมีผู้คนอพยพเข้ามาทำกิน ผืนป่าจึงเปลี่ยนสภาพเป็นชุมชน ครั้นหมดสัมปทาน ผู้คนก็หันมาทำอาชีพเกษตรกรแทน นานเข้าเมื่อผืนดินไม่อุดมสมบูรณ์เหมือนเดิม โครงการสวนป่าที่ช่วยฟื้นฟูผืนดิน ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จึงเกิดขึ้น
นอกจากนี้ยังมีศูนย์ศิลปาชีพ ที่เป็นโครงการในพระราชดำริเช่นกัน ที่นอกจากจะทำให้คุณภาพชีวิตของชาวบ้านดีขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้ว ยังเพิ่มรายได้เสริมจนสามารถเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง โดยไม่ต้องเข้าไปหาของป่าหรือถางป่าเพื่อปลูกไร่เลื่อนลอยเหมือนเช่นแต่ก่อน นางพวงมักจะเอ่ยถึงผู้พันแสนคมให้พรนับพันฟังอยู่ไม่ขาดปาก สร้างความหมั่นไส้ให้เกิดขึ้นกับพรนับพันไม่น้อย
แสนคมมาบ้านนางพวงแต่เช้า ถือของแห้งพวกกุนเชียง หมูทุบ หมูแผ่น พร้อมด้วยกาแฟมาฝากป้าพวง ทั้งที่จุดประสงค์หลักที่เอามานั้น แสนคมรู้ว่าเอามาฝากหญิงสาวที่มาอยู่กับนางพวงต่างหาก และครั้งนี้พรนับพันได้รู้จักกับจ่าวัยกลางคนชื่อช่วงโชติ ที่มาพร้อมเสียงเพลง ซึ่งจงใจร้องจีบนางพวงเสมอเมื่อมีโอกาส จ่าหน้าตาโหดแต่คำพูดและการแสดงออกขัดกับใบหน้าที่สุด
เด็กชายจุ้นที่รู้สึกถูกชะตากับหญิงสาวสวยชื่อพรนับพันมาก ปกติจุ้นจะไม่ค่อยชอบผู้หญิงที่เข้ามา วุ่นวายกับผู้พันแสนคมของมันนัก เพราะมันหวงผู้พันของมันราวกับจงอางหวงไข่ จุ้นเห็นตุ๊กแกที่เกาะอยู่ไม่ห่างจากตัวพรนับพันก็ตะโกนบอก ครั้นพรนับพันหันไปเห็นด้วยความตกใจทำให้โผเข้ากอดแสนคม สร้างความอับอายให้เกิดกับพรนับพันเป็นอย่างมาก แต่ก็สร้างความกังขาให้เกิดกับจ่าโชติเช่นกัน เพราะจ่าโชติเคยเห็นดวงใจ (สิปโปทัย ฉันทะสิริวัฒน์) ลูกสาวกำนันคำกลัวตุ๊กแกโผเข้ากอดแสนคม แต่แสนคมหลบจนดวงใจล้มไม่เป็นท่า แต่ครั้งนี้นอกจากไม่หลบยังยอมให้กอดแต่โดยดี
วิชิต หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามาหาแสนคมถึงที่ทำงาน เพื่อจะมาคุยถึงเรื่องที่จะมีการลักลอบขนลูกช้างป่าขึ้นในอีกไม่ช้า แสนคมก็ทราบจากสายที่รายงานเข้ามาเช่นกัน แสนคมอยู่ที่นี่ต้องผูกมิตรกับชาวบ้าน ดังนั้นพอมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจึงมักจะแก้ไขได้ทันเวลาเสมอ วิชิตชื่นชมในตัวแสนคมมากในการเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่มีนอกมีในเหมือนนายทหารคนเก่าที่ถูกย้ายออกไป ทั้งที่ตอนแสนคมย้ายมาใหม่ๆ วิชิตเองก็มองแสนคมผิดไปเหมือนกัน เพราะเห็นว่าเป็นลูกชายแม่ทัพภาคจะอยู่ได้สักกี่น้ำ แต่แสนคมก็ทำผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ โดยเฉพาะการเข้าขัดขวางพวกลักลอบขนลูกช้างป่าจนเกิดปะทะกันขึ้น เมื่อตอนย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน
จากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มีการสูญเสียเกิดขึ้น เพราะทหารเสียชีวิตไปสองนาย เจ้าหน้าที่ป่าไม้หนึ่งนาย และฝ่ายตรงข้ามก็เสียชีวิตสามคน ส่วนแสนคมบาดเจ็บสาหัสจนมีแผลเป็นที่หน้าอก และคนของฝ่ายตรงข้ามก็บาดเจ็บสาหัสหนีรอดไปได้หนึ่งคน และแสนคมจำได้ว่าชื่อชีพ
เสี่ยเกรียงไกรเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในอำเภอสวนผึ้ง และเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ แต่ไม่สามารถเอาผิดได้เพราะไม่มีหลักฐานเพียงพอ เสี่ยเกรียงไกรเป็นเจ้าของรีสอร์ตหรูในอำเภอสวนผึ้ง มีคดีที่กำลังฟ้องร้องอยู่หลายคดี ทั้งคดีที่สร้างรีสอร์ตรุกเข้าไปในป่าสงวน และรับซื้อที่ของราชพัสดุจากชาวบ้านซึ่งรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งคดีดังกล่าวก็ยืดเยื้อมานาน จนแสนคมมองว่าผลที่สุดเสี่ยเกรียงไกรก็ต้องเป็นฝ่ายชนะ แต่แสนคมบอกกับวิชิตว่าถ้าเขาไม่ตายซะก่อนจะต้องเอาเสี่ยเกรียงไกรเข้าคุกให้ได้
นางพวงจะพาพรนับพันไปตลาดในตัวอำเภอเพื่อซื้อเสื้อผ้า แต่รถยนต์คันหรูของพรนับพันกลับสตาร์ทไม่ติด นางจึงให้จุ้นไปตามแสนคมมาดูรถให้ จนพรนับพันนึกค่อนขอดว่าอะไรๆ ก็นึกถึงแต่แสนคม และเมื่อแสนคมมาถึง พร้อมด้วยบดินทร์ที่เห็นสภาพรถก็รู้ทันทีว่าไดชาร์จเสีย ต้องจอดไว้อย่างเดียว รอให้ช่างจากอู่มารับ นางพวงจึงขอติดรถของแสนคม ซึ่งกำลังจะเอางานของศูนย์ศิลปาชีพไปส่งให้เจ้าหน้าที่จากสวนจิตรลดาในตัวอำเภอสวนผึ้งพอดี
นางพวงแอบโทรศัพท์ไปหาคุณพรพรรณรายกับคุณเมธี ซึ่งทั้งสองกำลังวิตกกังวลกับการหายตัวไปของพรนับพันอยู่พอดี โดยเฉพาะคุณพรพรรณรายที่ทำทีเป็นไม่สนใจนั้น แท้ที่จริงก็รักลูกมาก แต่ที่ทำไปเพราะต้องการประชดสามี พลั้งมือตบหน้าลูกสาวก็ใช่ว่าจะไม่เสียใจ ถึงกับทำให้ละทิฐิโทรหาพรนับพันแต่ติดต่อไม่ได้ รวมทั้งคุณเมธีก็เช่นกันที่เป็นห่วงลูกสาวไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เมื่อรู้ว่าพรนับพันอยู่กับนางพวงก็เบาใจ โดยนางพวงบอกว่ายังไม่ต้องมาหา ให้พรนับพันอยู่อย่างนี้ไปก่อน ให้เรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเองแล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง
พรนับพันพบกับดวงใจลูกสาวของกำนันคำและมีปากเสียงกัน จากการที่ดวงใจเดินหันรีหันขวางจนชนกับพรนับพัน แต่ดวงใจกลับโทษว่าเป็นความผิดของพรนับพัน กระทั่งไกรภพ (กันตพัฒน์ เพิ่มพูนพัชรสุข) ลูกชายของเสี่ยเกรียงไกรเข้ามาไกล่เกลี่ย เพราะติดใจในตัวของพรนับพัน และท่าทีของไกรภพก็สร้างความหมั่นไส้ให้เกิดกับดวงใจไม่น้อย เพราะแม้ตัวเองจะชอบแสนคมมากก็ตาม แต่ตัวไกรภพก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย ไกรภพกำลังจะสานสัมพันธ์กับพรนับพัน แต่ถูกชีพคนสนิทของผู้เป็นพ่อเข้ามากระซิบบอกเหตุร้ายเสียก่อน ทำให้ต้องผละไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
แสนคมรีบส่งของให้เจ้าหน้าที่จากสวนจิตรลดา แล้วรีบขับรถกลับท่ามกลางอาการสงสัยของบดินทร์ เพราะปกติแสนคมจะต้องแวะทักทายกับคนนั้นคนนี้ก่อน แต่ก็พอเดาได้ว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากพรนับพัน ระหว่างที่แสนคมเดินตรงไปยังพรนับพันที่ยืนอยู่กับนางพวงและจุ้นโดยมีดวงใจอยู่ด้วย ก็สวนกับไกรภพและชีพทำให้แสนคมต้องหันกลับไปมอง สร้างความสงสัยให้เกิดกับบดินทร์จนต้องถาม แสนคมจึงพูดถึงคนที่เดินสวนกันว่าต้องเป็นชีพแน่นอน แม้จะสวมแว่นตาปกปิดไว้ก็ตาม เพราะจำรอยแผลเป็นที่แก้มได้ ดวงใจได้ยินจึงถือโอกาสพูดขึ้นมาว่าตัวเองรู้จักผู้ชายที่เดินไปเมื่อกี้ และบอกว่าหนึ่งในนั้นเป็นลูกชายเสี่ยเกรียงไกร ส่วนอีกคนเป็นคนสนิทของเสี่ยเกรียงไกรชื่อชีพ
คำพูดของดวงใจทำให้แสนคมรู้ว่าเขาเดาไม่ผิด ดวงใจรีบบอกว่าตัวเองเปลี่ยนชื่อจากดวงใจเป็น ดวงลดาแล้ว และยังเปลี่ยนชื่อเล่นเป็นลดาด้วย แต่แสนคมไม่ได้สนใจนัก ดวงใจหรือชื่อใหม่ว่าดวงลดาบอกกับแสนคมว่าขอติดรถไปด้วยเพราะรถของตัวเองสตาร์ทไม่ติด บดินทร์จึงอาสาจะไปดูให้ ทำให้ดวงลดารีบบอกว่าไม่ต้อง เพราะถ้าบดินทร์ไปดูก็รู้ว่ารถไม่ได้เป็นอะไร จึงมองบดินทร์อย่างไม่ชอบใจก่อนจะขอตัว
ระหว่างเดินทางกลับ แสนคมเกือบขับรถเหยียบลูกหมาสีดำ จึงลงไปอุ้ม เมื่อมองไม่เห็นใครก็อุ้มขึ้นรถมาและให้พรนับพันเอาไปเลี้ยง พรนับพันดีใจมากเพราะต่อไปนี้จะได้ไม่เหงา บดินทร์ถามถึงเรื่องชีพ แสนคมจึงเล่าเรื่องให้ฟังว่าเคยมีเรื่องกันมาก่อน นางพวงบอกแสนคมว่าเคยเห็นหน้าผู้ชายที่มีรอยแผลเป็นที่หน้า บอกว่าเป็นคนจิตใจเหี้ยมโหด เพราะเคยยิงหมาของตาคะยอแค่ถูกเห่าเท่านั้น เตือนให้แสนคมระวังตัวให้ดี พรนับพันฟังเรื่องราวแล้วไม่อยากเชื่อว่าคนอย่างแสนคมจะบ้าดีเดือดถึงเพียงนั้น
ชีพบอกกับไกรภพว่าคนที่เดินสวนกันคือตัวแสบ ที่คอยขัดขวางงานมาตลอดตั้งแต่ย้ายมา ไกรภพฟังแล้วไม่เชื่อถือ แต่ชีพบอกว่าที่ใบหน้ามันเป็นแผลเป็นจนทุกวันนี้ก็เพราะแสนคม เรื่องการลักลอบขนลูกช้างครั้งที่แล้วไม่สำเร็จก็เป็นเพราะแสนคมนำกำลังเข้าขัดขวางจนเกิดปะทะกัน จนต้องสูญเสียมือดีไปถึงสามคน และบอกว่าเสี่ยเกรียงไกรเคยเอาเงินใส่ซองไปให้แต่แสนคมคืนกลับมา ไกรภพทระนงบอกว่าเขาไม่เชื่อหรอกว่าเงินจะไม่สามารถซื้อคนได้
ผู้ใหญ่สมปองไปหาแสนคมที่บ้าน เพื่อฝากเพลินตาซึ่งเป็นลูกสาวให้ไปเรียนที่ศูนย์ศิลปาชีพ ซึ่งท่าทางของเพลินตาออกเป็นทอมบอยทำให้บดินทร์นึกว่าเป็นผู้ชาย สร้างความโกรธเคืองให้เพลินตามาก และผู้ใหญ่สมปองก็บอกว่าจะแวะไปหานางพวงที่เป็นน้องสาว เพราะได้ข่าวว่ามีคนมาอยู่ด้วย เพลินตาก็บอกว่าถ้าคนมาอยู่ด้วยชื่อขิมก็เป็นคนที่อาเลี้ยงมาแต่เล็กและรักนักรักหนา เธอเคยไปเยี่ยมนางพวงที่บ้านแล้วเคยเจอ ดูเหมือนจะเป็นเด็กมีปัญหาเพราะเจอตอนร้องไห้ทั้งสองครั้ง และยังพูดอีกว่ากลัวจะมาสร้างภาระให้ผู้เป็นอามากกว่า ทำให้บดินทร์พูดขึ้นว่าเพลินตามองคนในแง่ร้าย ยิ่งทำให้เพลินตาไม่ค่อยชอบหน้าบดินทร์นัก
จุ้นตั้งชื่อลูกหมาตัวดำปิ๊ดปี๋ว่าสมปอง นางพวงจึงบอกว่าระวังผู้ใหญ่สมปองซึ่งเป็นพี่ชายของนางจะสับสนเอานะ แต่ก็เป็นจริงตามที่นางพวงพูด เพราะผู้ใหญ่สมปองแวะมาที่บ้านพร้อมด้วยแสนคม และบดินทร์ พอรู้ว่าลูกหมาชื่อเหมือนตัวเองก็โวยวาย จนแสนคมเกรงใจบอกให้จุ้นเปลี่ยน และถามถึงสาเหตุว่าทำไมตั้งชื่อนี้ จุ้นก็บอกว่าตั้งให้คล้องกับแสนคม ทำเอาแสนคมหน้าเหวอพรนับพันนั้นหัวเราะออกมาด้วยความขำ เพลินตาเห็นพรนับพันก็มองว่าเป็นคุณหนูก็ถามออกมาตรงๆ ว่าจะมาอยู่ที่นี่ได้แน่หรือ พรนับพันก็บอกว่าให้คอยดูต่อไป
ผู้ใหญ่สมปองเพิ่งนึกได้ว่านัดชาวบ้านเอาไว้เพื่อไปทำแนวกันไฟ จึงรีบผลุนผลันออกไป โดยนางพวงเองก็เพิ่งนึกได้เพราะจ่าโชติบอกไว้แล้ว จึงบอกเดี๋ยวจะตามไป นางพวงบอกให้พรนับพันอยู่บ้านกับจุ้นไม่ต้องออกไปช่วย แต่พรนับพันเห็นสายตาดูถูกของเพลินตาก็บอกว่าจะไปช่วยด้วย โดยมีจุ้นบอกว่าเดี๋ยวจะคอยช่วยพรนับพันด้วยอีกแรง เมื่อพรนับพันไปถึงจุดที่ทำแนวกันไฟที่อยู่ใกล้กับศูนย์ศิลปาชีพ เห็นการร่วมแรงร่วมใจของชาวบ้าน มากมายที่ต่างไปช่วยกันโดยไม่ต้องมีค่าจ้าง สร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นกับพรนับพันโดยไม่รู้ตัว
จากการมาช่วยทำแนวกันไฟ ทำให้พรนับพันเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจไม่น้อย แม้จะไม่ได้ช่วยอะไรมากมายนักก็ตาม และยังได้พบกับตาคะยอซึ่งเป็นเกษตรกรดีเด่น และนางพวงเคยเล่าให้ฟังว่าตาคะยอเป็นชาวกะเหรี่ยงก็จริง แต่มีหัวใจของความเป็นไทยอยู่เต็มเปี่ยม เพราะมีความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถมาก
พรนับพันช่วยคนอื่นทำทั้งที่ไม่เคยทำ ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้เพลินตาเริ่มมองพรนับพันในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิม แสนคมเอาหมวกให้พรนับพันคลุมกันแดด ทำให้พรนับพันรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ค่อยๆ เกิดขึ้นกับตัวเอง ขณะทำงานแสนคมมักจะมองหาแต่พรนับพัน ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แค่เห็นผู้หญิงคนนี้อยู่ในสายตาเขาก็พอใจแล้ว จ่าโชติมาบอกแสนคมว่ากำนันคำต้องการพบแสนคม ซึ่งไม่ค่อยได้พูดคุยกับกำนันคำนัก เพราะส่วนมากจะคุยกับผู้ใหญ่สมปองมากกว่า จึงนึกสงสัยว่ากำนันคำมีเรื่องอะไรคุยกับเขา เมื่อแสนคมไปถึงกำนันคำที่ยืนอยู่ก็ถามถึงธุระ พูดเป็นทำนองว่าถ้าแสนคมเปลี่ยนใจขอให้บอก
แสนคมก็บอกว่าเขาไม่เคยรับปากอะไรไปทำไมต้องเปลี่ยนใจด้วย กำนันคำจึงพูดถึงเรื่องที่เสี่ยเกรียงไกรเคยเอาเงินใส่ซองมาให้ทำไมแสนคมถึงไม่รับ แสนคมจึงบอกกำนันคำไปว่าเขาไม่สนใจเงินนั่นหรอก เขาไม่เคยคิดคดทรยศต่อแผ่นดิน และพูดใส่กำนันคำออกไปว่า เคยได้ยินมาว่าเมื่อก่อนกำนันคำเป็นคนดีมาก แล้วอะไรทำให้เปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ และยังฝากไปบอกกับเสี่ยเกรียงไกรว่าให้ระวังตัวไว้ให้ดี ทำอะไรไม่ดีไว้อย่านึกว่าไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น พูดจบก็เดินจากไป
จ่าโชติกับจ่าทัศน์พอรู้ว่ากำนันคำพูดจาอะไรกับแสนคมต่างก็โกรธ เพราะทั้งสองจ่าอยู่ที่นี่มานาน รู้ว่าเมื่อก่อนกำนันคำไม่ใช่คนแบบนี้ ที่เปลี่ยนไปเป็นเพราะเงินตัวเดียวจริงๆ เพราะเดี๋ยวนี้กำนันคำขับรถป้ายแดง สร้างบ้านหลังใหม่ ซื้อรถป้ายแดงให้ดวงใจขับ พกโทรศัพท์มือถือเครื่องละสองหมื่น และมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับเสี่ยเกรียงไกรมาก
ชีพซึ่งเป็นคนสนิทของเสี่ยเกรียงไกร มักจะพูดเตือนเจ้านายอยู่บ่อยครั้งว่า งานที่เกิดผิดพลาดขึ้นหลายๆ ครั้งในระยะหลังรวมทั้งการที่ถูกจับไม้ที่ห้วยขาแข้งที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ถึงแม้จะไม่มีใครถูกจับได้ น่าจะมีเกลือเป็นหนอน ชีพเองไม่เคยไว้ใจกำนันคำ เพราะรู้ว่าเคยเป็นคนซื่อมือสะอาดมาก่อน แต่เสี่ยเกรียงไกรมักจะไม่เห็นด้วย บอกว่าเงินเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนกำนันให้เป็นคนกบฏทรยศแผ่นดินได้
หลังจากวันทำแนวกันไฟ พรนับพันกับเพลินตาก็สนิทสนมกันมากขึ้น ทั้งคู่พากันไปที่ศูนย์ศิลปาชีพ เพื่อเรียนปักผ้า และจากการไปนั่งเรียนทำให้พรนับพันได้รู้อะไรหลายๆ อย่าง อย่างแรกคือค่าของเงิน ขณะที่เธอเคยใช้เงินวันละหลายพัน แต่คนทำงานที่นี่นั่งหลักขดหลังแข็งนานนับเดือนกว่าจะได้เงินจำนวนนี้ กาแฟที่เคยดื่มแก้วละร้อยกว่าบาทแต่เป็นค่าแรงการทำงานของคนที่นี่ ซึ่งมีความสำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่
ทำให้พรนับพันเกิดความละอายขึ้นมา สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ใช้เงินแบบนั้นอีก และที่สำคัญ ตอนแรกที่เธอคิดมาเรียนปักผ้า เพราะต้องการชนะคำสบประมาทของแสนคม แต่การได้มาเห็นทำให้เธออยากปักได้สำเร็จจะได้สร้างความภูมิใจให้เกิดกับตัวเอง ทั้งยังได้รู้น้ำใจของนายทหารที่ชื่อแสนคม ที่สร้างไว้กับคนหลายคนจนไม่สงสัยเลยว่าเหตุใดผู้คนจึงพากันรักผู้ชายคนนี้นัก แล้วยังได้รู้จักอีกมุมของเพลินตาที่มองดูห้าว แต่ความจริงเป็นคนน่าสงสาร เพราะกำพร้าแม่ตั้งแต่อายุน้อย ต้องปักเสื้อนักเรียนด้วยตัวเองตั้งแต่อยู่ปอสอง ทำให้พรนับพันคิดถึงตัวเองขึ้นมา เธอโชคดีที่มีพ่อแม่ครบ นับวันพรนับพันก็ซึมซับความรู้สึกดีดีของผู้คนที่นี่เข้าไปในหัวใจ รวมทั้งนายทหารหนุ่มที่ชื่อแสนคม ที่เมื่อก่อนมักจะมองเธอด้วยสายตาดุๆ แต่บัดนี้สายตาดังกล่าวได้เปลี่ยนไปแล้ว ซึ่งทำไม เธอจะไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร
นางพวงเองก็มองว่าหญิงสาวที่นางเลี้ยงมาแต่เล็กแต่น้อย เริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ด้วยพื้นฐานของพรนับพันไม่ได้เป็นคนไม่ดี เป็นคนจิตใจดีด้วยซ้ำ ยิ่งพรนับพันไปเห็นบ้านของตาคะยอ ที่ทำตามแนวทางพระราชดำริ โดยการทำเกษตรแบบทฤษฎีใหม่ ปลูกทั้งพืชผักสวนครัวและผลไม้หลายๆ อย่างไว้ด้วยกันในพื้นที่ที่มีจำกัด รวมทั้งมีบ่อปลานาข้าวอยู่ในบริเวณเดียวกัน ได้ฟังตาคะยอพูดถึงว่าที่ได้ดีมาจนถึงทุกวันนี้เป็น เพราะพระบารมีของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะขอตายในผืนแผ่นดินไทยนี้ จนทำให้พรนับพันเกิดความซาบซึ้ง
เพราะความโกรธแค้นที่ถูกแสนคมตอกกลับมา ทำให้ไกรภพคิดเรื่องชั่วๆ โดยการคิดวางเพลิงเผาศูนย์ศิลปาชีพ แต่ก็ทำไม่สำเร็จ เพราะจ่าสุทัศน์ที่ไม่สบายนอนอยู่บ้านพัก เห็นเหตุการณ์เข้าก่อน จึงโทรตามคู่หูที่อยู่บ้านตาคะยอซึ่งกำลังมีการกินปลาเผากันอยู่ ทำเอาทุกคนต้องรีบมาที่ศูนย์ศิลปาชีพเพื่อช่วยกันดับไฟ และก็ไม่เกิดการสูญเสียเพราะรถดับเพลิงมาทันเวลาพอดี แค่บางส่วนถูกไหม้เท่านั้น
เหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้ทำให้แสนคมบาดเจ็บที่แขนขวาเพราะเข้าช่วยพรนับพัน พรนับพันจึงเป็นคนขับรถพาแสนคมไปโรงพยาบาล ซึ่งระหว่างเดินทางแสนคมก็แสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาจนหมด และเล่าด้วยว่าเคยเจอพรนับพันมาแล้วในผับที่ทองหล่อ ทั้งยังบอกว่าเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และบอกว่าต่อไปห้ามสวมใส่เสื้อผ้าแบบนั้นอีก ซึ่งพรนับพันเองก็ไม่เคยคิดจะกลับไปใส่อีกเหมือนกัน เพราะมาอยู่ที่นี่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าง่ายๆ แทบทุกวัน เงินก็ไม่ค่อยได้ใช้เพราะไม่รู้จะไปซื้ออะไร กินกับข้าวง่ายๆ ที่มีอยู่รอบบ้านนางพวง ทำให้พรนับพันกลายเป็นคนอยู่ง่ายกินง่ายไปโดยปริยาย
เสี่ยเกรียงไกรโกรธมากที่งานวางเพลิงไม่สำเร็จ กำชับชีพอย่าให้ลูกน้องทิ้งหลักฐานไว้เป็นอันขาด ชีพก็บอกว่าแค่นี้ก็ทำให้ชาวบ้านขวัญหนีดีฝ่อแล้ว กำนันคำที่มาหาก็บอกว่าทำไมจะเผาศูนย์ฯ ถึงไม่บอกด้วย เผื่อจะได้ช่วยให้สำเร็จ เพราะตอนไฟไหม้กำนันก็อยู่ที่นั่นด้วย ถ้ากำนันร่วมมือด้วยแต่แรกจะแนบเนียนกว่านี้ คำพูดของกำนันคำยิ่งทำให้เสี่ยเกรียงไกรเชื่อว่ากำนันคำนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่ชีพระแวงเด็ดขาด
พรนับพันมาอยู่ที่นี่ได้แค่สิบวัน แต่มีความรู้สึกว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่เป็นปี จากการได้หัวเราะได้ยิ้มกับสิ่งต่างๆ รอบกาย ทำให้ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายอย่างที่ควรเป็น และจากผลของการที่ไปทำแนวกันไฟ ทำให้พรนับพันมีอาการไข้เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนกลางคืน แต่กินยาเข้าไปก็ทุเลาลง แต่มาออกอาการอีกครั้งตอนเช้า ขณะที่นางพวงต้องไปวัดแต่เช้าและคืนนี้ก็ต้องนอนค้างที่วัดกับนางสายใจ ซึ่งเป็นเมียกำนันคำตามที่เคยพูดกันไว้
พรนับพันมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงจนอาเจียน ทำให้จุ้นที่อยู่ด้วยกันและกำลังจะไปโรงเรียน ตกใจจนร้องไห้ทำอะไรไม่ถูก แต่โชคดีที่เพลินตาที่จะต้องแวะมารับพรนับพันไปวัดและ ไปส่งจุ้นที่โรงเรียน ขี่รถเข้ามาก่อน เมื่อเห็นอาการของพรนับพันก็ตกใจจึงโทรไปตามแสนคม แสนคมพอทราบเรื่องก็ตกใจมาก เพราะนับจากวันที่ไฟไหม้วันนั้นเขาก็ไม่ได้เจอกับพรนับพันเลย ได้แต่เห็นกันแวบๆ เพราะยุ่งทั้งเรื่องไฟไหม้ที่รู้แล้วว่าเป็นการวางเพลิง กำลังตามจับตัวอยู่ แล้วยังมีเรื่องลักลอบขนลูกช้างป่าอีก
การเห็นพรนับพันเป็นแบบนี้ทำให้แสนคมแทบขาดใจ เขารู้ว่าเขารักผู้หญิงคนนี้เหลือเกิน แสนคมอุ้มพรนับพันโดยไม่สนใจแผลที่แขนขวาที่ต้องเย็บสิบเข็ม ตอนเกิดไฟไหม้และยังไม่ได้ตัดไหม แม้บดินทร์จะอาสาอุ้มพรนับพันให้ก็ตาม แสนคมพาพรนับพันไปส่งที่โรงพยาบาลเอกชน โดยหมอบอกว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ เพราะไข้ขึ้นสูงมาก มีอาการเพ้อเป็นระยะ ส่วนใหญ่จะเพ้อถึงพ่อแม่ และเรื่องที่ถูกตบ และต้องอยู่โรงพยาบาลเป็นอาทิตย์
เพลินตานั้นถึงกับร้องไห้เพราะกลัวพรนับพันเป็นอะไรไป เพราะเคยเห็นผู้เป็นแม่อาการแบบนี้ และตายไปต่อหน้าต่อตา ไม่อายที่บดินทร์เห็นตัวเองร้องไห้ออกมาเพราะมาถึงขั้นนี้แล้ว แสนคมให้บดินทร์พาเพลินตากลับไปที่พักเพื่อเอาเสื้อผ้ามาให้ เพราะคืนนี้เขาจะนอนเฝ้าพรนับพันที่โรงพยาบาลด้วยตัวเอง บดินทร์ขับรถพาเพลินตากลับ และได้คุยปรับความเข้าใจกัน ตั้งแต่เรื่องที่บดินทร์เข้าใจผิดมองเพลินตาเป็นผู้ชาย ซึ่งจริงๆ เขาไม่ได้คิดเช่นนั้น เพลินตาร้องไห้ซบไหล่ของบดินทร์เล่าเรื่องแม่ให้ฟัง เพราะกลัวพรนับพันจะเป็นอะไรไป บดินทร์กอดปลอบใจ และพาเพลินตาไปที่วัด เพื่อไปบอกอาการป่วยของพรนับพันให้นางพวงฟัง ทำให้นางพวงอยู่วัดต่อไปไม่ไหวตามไปที่โรงพยาบาลด้วย
แสนคมบอกนางพวงว่าขอเป็นคนเฝ้าพรนับพันเองตอนกลางคืน นางพวงมองแล้วคิดว่าไม่เหมาะ ได้แต่ทำท่าอ้ำอึ้งๆ แม้จะรู้ว่าแสนคมเป็นคนดีเพียงใดก็ตาม แสนคมจึงเอาแหวนญาติ ซึ่งเป็นแหวนที่นักเรียนเตรียมทหารทำไว้ให้คนสำคัญขึ้นมาซึ่งเขาทำไว้ให้คือแม่ และผู้เป็นแม่เพิ่งให้มาตอนกลับบ้านไปครั้งที่แล้ว แสนคมหยิบแหวนมาสวมให้พรนับพันขณะที่เจ้าตัวยังไม่ได้สติ ท่ามกลางความซาบซึ้งของทุกคนที่เป็นพยาน
พรนับพันฟื้นขึ้นมาหลังจากเพ้อถึงพ่อแม่อยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็ดิ้นทุรนทุรายจนแสนคมต้องโอบกอดไว้ พรนับพันสงสัยที่จู่ๆ แหวนมาอยู่ที่นิ้ว แสนคมจึงบอกว่าเป็นแหวนหมั้นของเขาเอง และบอกว่าเขารักพรนับพันต่อไปให้เรียกเขาว่าพี่ พรนับพันดีใจรวมทั้งเกิดความอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก และที่สำคัญพรนับพันเองก็มีความรู้สึกไม่แตกต่างกัน
ไกรภพมาเยี่ยมผู้เป็นแม่ที่บวชเป็นชีซึ่งป่วยเป็นอาหารเป็นพิษ แม้ไกรภพจะดูเป็นคนนิสัยไม่ดีหรือเลวเพียงใด แต่สิ่งหนึ่งที่เขาให้ความสำคัญที่สุดคือแม่ชีกรแก้ว ที่หย่าขาดจากผู้เป็นพ่อเพราะความคิดไม่ตรงกัน แต่ไกรภพก็ยังติดต่ออยู่เสมอ เมื่อรู้ว่าผู้เป็นแม่ป่วยก็ทำเรื่องย้ายมาอยู่ใกล้ๆ จะได้ดูแลอย่างใกล้ชิด แม่ชีกรแก้วมักจะบอกให้ไกรภพทำความดีอย่าได้ทำชั่วแม้จะรู้ว่าสายไป และที่ตัวนางบวชชีก็เผื่อไถ่บาปให้ลูก ถ้าลูกได้กระทำความผิด
ไกรภพรู้จากพยาบาลว่าพรนับพันป่วยอยู่ที่นี่จึงเข้าไปเยี่ยม ขณะที่มีนางพวงกับเพลินตาเฝ้าอยู่ เพราะช่วงกลางวันแสนคมกลับไปทำงาน และกำลังยุ่งอยู่กับข่าวเรื่องลูกช้างป่า กว่าไกรภพจะออกจากห้อง พรนับพันก็ต้องทำเป็นง่วงด้วยฤทธิ์ยา จนไกรภพต้องขอตัวกลับ พรนับพันเผลอเล่าเรื่องที่เคยพบกับแสนคมให้นางพวง และเพลินตาฟัง ทำให้นางพวงคิดว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพราะพรหมลิขิตอย่างแน่นอน
นางพวงโทรไปบอกคุณพรพรรณรายกับคุณเมธี เรื่องพรนับพันป่วย คุณพรพรรณรายถึงกับร้องไห้โฮเมื่อรู้ว่าลูกสาวเพ้อถึงพ่อแม่และเรื่องที่ถูกตบ รวมทั้งคุณเมธีด้วยเช่นกัน หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ทั้งสองคนนึกทบทวนถึงเรื่องราวที่ผ่านมา จึงต่างค่อยๆ ปรับตัวเข้าหากัน ซึ่งก็ไม่ได้ยาก เพราะต่างมีความรักในตัวกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นางพวงที่ฟังน้ำเสียงการพูดของทั้งคู่ จึงรู้ว่าเรื่องราวน่าจะไปในทางที่ดีขึ้น
พรนับพันอยู่โรงพยาบาลแค่สามวันก็ออกเพราะร่างกายฟื้นตัวเร็วจนหมอตกใจ อาจเป็นเพราะกำลัง และแรงใจจากแสนคมมีส่วนช่วยด้วยเยอะ แสนคมเป็นคนมารับกลับ เมื่อรู้ว่าไกรภพมาเยี่ยม ก็บอกให้ระวังตัวอย่าไปไหนคนเดียวอีก และบอกว่าช่วงนี้อาจไม่ได้เจอกัน เพราะแสนคมได้รับรายงานจากสายว่า พรุ่งนี้เป็นวันที่พวกลักลอบขนลูกช้างป่าจะลงมือ แสนคมบอกนางพวงว่าขอฝากหัวใจไว้กับนางพวงด้วย คำพูดดังกล่าวทำให้พรนับพันใจเสียเพราะเหมือนเป็นลาง จึงบอกกับแสนคมว่าสัญญาว่าจะต้องกลับมาหาเธอ
เสี่ยเกรียงไกรกำหนดเส้นทางขนย้ายลูกช้างป่า และครั้งนี้มีงาช้างที่จะได้อีกหลายคู่ ชีพเตือนว่าเส้นทางที่กำหนด เป็นป่าทึบที่อยู่ไม่ห่างจากสวนป่าเฉลิมพระเกียรติที่แสนคมกับวิชิตดูแล เสี่ยเกรียงไกรก็บอกว่าสถานที่ที่อันตรายที่สุด คือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด เส้นทางที่กำหนดยังไม่เคยมีใครเข้าไป เพราะค่อนข้างลำบาก ที่จะใช้เส้นทางนี้เพราะจะได้ดูลู่ทาง เพื่อหาทางลักลอบตัดไม้ด้วย ชีพไม่รู้จะแย้งยังไงแต่มีลางสังหรณ์เกิดขึ้น และบอกว่าครั้งนี้อย่าเพิ่งบอกวันทำจริงกับกำนันคำ เอาไว้ใกล้ๆ ค่อยบอก พอดีกับกำนันคำมาหาพอดี เสี่ยเกรียงไกรจึงบอกว่าวันพรุ่งนี้ คือวันที่กำหนดทำงานสำคัญ
เชิดซึ่งเป็นเด็กหนุ่มที่มักจะชอบเดินตามหลังกำนันคำเสมอ มาหากำนันคำที่บ้านขณะอยู่ในเวลาอาหารเย็น กำนันจึงบอกให้ไปคุยที่อื่น เชิดจึงถามว่ากำนันรู้เรื่องขนลูกช้างป่าในคืนนี้บ้างหรือเปล่า กำนันก็ถามว่าเชิดรู้มาจากไหน เชิดจึงตอบว่ารู้มาจากเพื่อนซึ่งเป็นลูกน้องของชีพ ซึ่งชวนให้มันไปทำด้วยจึงมาปรึกษากำนัน เมื่อได้ฟังกำนันคำก็นึกโกรธ เพราะเสี่ยเกรียงไกรบอกวันกำหนดเป็นพรุ่งนี้ แต่กลายเป็นวันนี้ได้อย่างไร แสดงว่าเสี่ยเกรียงไกรเริ่มไม่ไว้ใจแน่นอน จึงบอกให้เชิดไม่ต้องไปทำเพราะเป็นอันตราย และบอกไม่ให้พูดเรื่องนี้กับใคร เชิดจึงลากลับไป ขณะกำนันกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี เสี่ยเกรียงไกรก็โทรเข้ามาหาบอกว่าเปลี่ยนวันเป็นคืนนี้แต่เวลาเดิม
นางสายใจที่ตามแอบมาฟัง เพราะท่าทางลุกลี้ลุกลนของเชิด เมื่อได้ฟังคำพูดของกำนันคำก็โกรธ ด่ากำนันว่าทำไมถึงกลายเป็นคนแบบนี้ จำสัจจะที่พูดไว้ตอนเข้าร่วมวันที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จมารับมอบสวนป่าเฉลิมพระเกียรติไม่ได้หรือ ว่าจะไม่คิดคดทรยศต่อแผ่นดิน กำนันคำบอกว่าสักวันนางสายใจจะเข้าใจ และบอกว่าคืนนี้จะไม่อยู่ ถ้ากลับมาจะเล่าให้ฟังทั้งหมด กำนันพูดแล้วก็หยิบโทรศัพท์มากดก่อนจะถอดแบตเตอรี่ออก และบอกกับนางสายใจว่าถ้าเป็นอะไรไปทุกอย่างอยู่ในโทรศัพท์เครื่องนี้ นางสายใจตกใจ เพราะกำนันคำไม่เคยพูดจาแบบนี้มาก่อน
แสนคมได้รับข้อความเปลี่ยนแปลงวันลงมือเป็นคืนนี้เวลาเดิมแทน ทำให้แสนคมนึกกังขา เพราะปกติงานสำคัญแบบนี้ คนที่ส่งข่าวจะส่งให้กับหัวหน้าคือ พลเอกนฤดล แล้วถึงจะส่งต่อมายังเขา จึงโทรไปหาวิชิตซึ่งก็ได้รับข้อความเดียวกัน โทรกลับไปยังเบอร์ที่ส่งก็ติดต่อไม่ได้ วิชิตจึงบอกให้เชื่อเถอะ เพราะเรื่องนี้มีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทราบ แสนคมจึงสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเตรียมพร้อม ทั้งเรื่องรถพยาบาลด้วย เพราะกลัวจะมีการสูญเสียไม่ทันการณ์เหมือนครั้งที่แล้ว
ขบวนของเสี่ยเกรียงไกร ซึ่งมีพรานบุญส่งเป็นผู้นำทาง เดินเข้าไปในป่าทึบท่ามกลางความหงุดหงิดของไกรภพ รวมทั้งความหวั่นกลัวของเสี่ยเกรียงไกร เพราะนับเป็นการเดินเข้าป่าทึบครั้งแรก คงมีชีพคนเดียวที่พกความระแวงไว้ตลอดเวลา เมื่อเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ คนนำทางก็สงสัย เพราะมาถึงสถานที่นัดคือต้นตะเคียนใหญ่ แต่ยังไม่เห็นพวกพรานที่บอกว่าจะมาดักรอ แต่ก็ยิ้มออกเมื่อได้ยินเสียงคนเดินอยู่ข้างหน้า
แต่คนที่เดินอยู่กลายเป็นพวกของแสนคม และวิชิตที่พาคนเข้ามาอีกทาง และบอกว่าจับพวกพรานป่าไว้ได้ทุกคนแล้วขอให้มอบตัว ชีพหันไปทางกำนันคำทันทีเพราะงานครั้งนี้ไม่มีใครรู้เรื่องมากนัก และบอกกับเสี่ยเกรียงไกรว่ากำนันคำคือคนทรยศ เสี่ยเกรียงไกรโกรธมากจึงด่ากำนันคำ ซึ่งกำนันคำบอกว่าขอเป็นคนทรยศต่อเสี่ยเกรียงไกรดีกว่าเป็นคนทรยศคิดคดต่อแผ่นดิน แล้วก็ทรุดลงเพราะถูกชีพยิงอย่างเผาขน และเป็นขณะเดียวกับที่แสนคมพาคนเข้ามาล้อมจับลูกน้องที่ยังอยู่ในอาการตกใจ เสี่ยเกรียงไกรพาไกรภพ วิ่งหนีไปได้ แสนคมบอกให้จ่าคู่หูพาทหารไปจับสองพ่อลูกให้ได้
ชีพที่กำลังจะวิ่งตามไป แต่เป็นเพราะความแค้นทำให้ชีพหันมายิงใส่แสนคม แต่เป็นเพราะอยู่ในช่วงละล้าละลังจึงถูกที่แขนซ้ายของแสนคมเท่านั้น แสนคมจึงยิงสวนไปข้างหลังถูกชีพอย่างจังจนล้มลง แสนคมวิ่งไปดูก็เห็นแน่นิ่งจึงหันไปทางกำนันคำที่นอนเจ็บอยู่อย่างเป็นห่วง กำนันคำที่เห็นชีพขยับตัวหยิบปืนมาจะยิงใส่แสนคม จึงร้องบอกแต่ไม่ทันการณ์ แม้แสนคมจะกลิ้งหลบ กระสุนเข้าที่ท้องของแสนคม ทำให้บดินทร์วิ่งตรงมาและสั่งให้ทหารเอาเปลสนามที่เตรียมมา หามแสนคมกับกำนันคำกลับไปทางเก่าไปที่รถพยาบาลด่วน
แสนคมที่ยังมีสติบอกบดินทร์ว่าให้ดูแลกำนันคำดีดี เพราะตอนเข้ามาก่อนกำนันคำจะถูกยิง ได้ยินคำพูดที่กำนันพูดว่าจะไม่ทรยศต่อแผ่นดินเต็มสองหู ผู้ใหญ่สมปองที่อยู่ชายป่ากับชาวบ้านอีกสองคน เห็นร่างของกำนันคำถูกหามมาก็เข้าไปหา บดินทร์บอกว่าอย่าเพิ่งพูดอะไร เอากำนันคำกับแสนคมไปส่งโรงพยาบาลก่อน โดยให้ผู้ใหญ่นั่งไปกับกำนันคำ ส่วนเขาจะนั่งไปกับแสนคม ผู้ใหญ่สมปองบอกชาวบ้านสองคนที่อยู่ด้วยให้ไปส่งข่าวกับนางสายใจ
ผู้ใหญ่สมปองที่ปากก็บอกว่าเกลียดเพื่อน แต่แท้ที่จริงรักเพื่อนมากแต่ที่พูดเพราะเสียใจ กับผิดหวัง ที่เพื่อนเป็นแบบนี้ กำนันคำบอกกับเพื่อนรักว่า ถ้าเขาเป็นอะไรไปฝากลูกเมียด้วย ผู้ใหญ่สมปองฟังแล้วถึงกับร้องไห้ แม้จะยังไม่รู้รายละเอียดก็ตาม เมื่อถึงโรงพยาบาลก็ส่งคนเจ็บเข้าห้องฉุกเฉิน นางสายใจพร้อมลูกสาว นางพวง เพลินตา พรนับพัน นางสายใจมาพร้อมถือโทรศัพท์มาด้วย และเล่าเรื่องที่ได้ยินกำนันคำให้บดินทร์ฟัง บดินทร์ขอดูโทรศัพท์เมื่อใส่แบตเตอรี่ลงไปและเปิดเครื่อง เบอร์ของแสนคมที่โทรไปก็ปรากฏอยู่ แค่นี้บดินทร์ก็รู้แล้ว ยิ่งเห็นข้อความที่ส่งออกอีก
ผู้ใหญ่สมปองพอรู้ว่าเพื่อนรักเป็นสายให้ทางการก็ร้องไห้โฮ รวมทั้งนางสายใจด้วย ที่สามีไม่เคยบอกปล่อยให้นางด่าอยู่ได้ ดวงใจนั้นร้องไห้มีเพลินตากับพรนับพันช่วยปลอบ หมอออกมาบอกว่าอาการของแสนคมนั้นสาหัสมากต้องผ่าตัดด่วน จึงถูกส่งต่อไปยังห้องผ่าตัด ส่วนกำนันคำหมอบอกว่าอาการหนักเกินเยียวยา เพราะถูกยิงที่ตับ ที่อยู่จนถึงตอนนี้เพราะกำลังใจอย่างเดียวให้ญาติเข้าไปหาได้
นางสายใจร้องไห้แทบขาดใจเมื่อเห็นร่างของกำนันคำ โดยกำนันบอกว่าเขาไม่เคยลืมสัจจะ ไม่เคยทรยศคิดคดแผ่นดิน บอกนางสายใจไม่ให้ร้องไห้เพราะจะทำให้นอนตายตาไม่หลับ และหันไปบอกกับดวงใจว่าต่อไปนี้ห้ามดื้อกับแม่ ต้องดูแลแม่ ซึ่งดวงใจก็รับปากทั้งน้ำตา กำนันคำหันไปหาเพื่อนบอกฝากลูกเมียด้วย ผู้ใหญ่สมปองด่าตัวเองที่ช่างโง่มีตาหามีแววไม่ แต่ก็รับปากจะทำตามที่กำนันบอกทุกอย่าง กำนันบอกบดินทร์ให้ช่วยฝากลาผู้พันแสนคมด้วย ขอให้รอดปลอดภัย หลักฐานทุกอย่างที่จะเอาผิด เสี่ยเกรียงไกรอยู่ในโทรศัพท์ แล้วก็สิ้นใจตายพร้อมด้วยคำว่าขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
ผู้ใหญ่ และแสนคม แม้จะเสียใจเพียงใดแต่ก็ต้องเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงต่อไป โดยมีนางพวงอยู่ช่วย ส่วนบดินทร์ พรนับพัน และเพลินตา ไปที่ห้องผ่าตัดที่ตอนนี้แสนคมอยู่ในนั้น พรนับพันนั้นร้องไห้ โดยมีบดินทร์บอกว่าแสนคมต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน เวลาผ่านไป พลโทพัชระ คุณสราญรัตน์ ก็มาที่โรงพยาบาลพร้อมเพื่อนๆ ของแสนคม ทุกคนอยู่ในอาการเป็นห่วง พยาบาลออกมาบอกว่าต้องการเลือดกรุ๊ปบีด่วน ซึ่งในนั้นไม่มีใครมีสักคน มีเพียงคุณสราญรัตน์ที่มีเลือดกรุ๊ปโอที่สามารถให้ได้ สร้างความดีใจให้กับคุณสราญรัตน์มากที่เลือดของแม่จะช่วยชีวิตลูกได้
พรนับพันกับเพลินตากลับมาจากห้องน้ำ พอรู้ว่าแสนคมต้องการเลือดจากบดินทร์ที่ยังพูดไม่ทันจบ พรนับพันก็บอกว่าเลือดกรุ๊ปเดียวกันเอาของเธอได้ แต่บดินทร์บอกว่าคุณสราญรัตน์ให้ไปแล้ว แต่ถึงจะเอาของพรนับพันก็คงไม่ได้ เพราะพรนับพันเพิ่งออกจากโรงพยาบาล พลโทพัชระพูดขอบคุณและเห็นแหวนที่นิ้วของพรนับพันก็เดาได้ว่า ผู้หญิงคนนี้ต้องเป็นคนสำคัญของลูกชายแน่นอน
แสนคมฟื้นหลังจากนั้น และดีใจที่เห็นหน้าผู้เป็นแม่ เพราะก่อนจะฟื้นเขาบอกว่าเห็นแม่เดินอยู่ข้างหน้า แต่เรียกเท่าไรก็ไม่ยอมหันมามอง เพื่อนๆ เลยบอกว่าเป็นเพราะพลังความรักของแม่ เลยทำให้แสนคมรอดชีวิต แสนคมถามหากำนันคำพอรู้ว่าตายแล้วก็เสียใจ แล้วก็มองหาพรนับพัน บดินทร์จึงไปตามมาให้ แสนคมบอกว่าเขามาตามสัญญา พรนับพันร้องไห้บอกดีใจที่แสนคมไม่ผิดสัญญาที่ให้ไว้ ท่ามกลางสายตาแปลกใจของทุกคนเพราะไม่เคยเห็นภาพนี้มาก่อน แสนคมบอกกับพ่อแม่ว่าพรนับพันคือผู้หญิงที่เขารักก่อนจะหลับไปอีกครั้ง
เพื่อนๆ ของแสนคมตอนแรกก็จำพรนับพันไม่ได้ แต่ไม่นานก็นึกออก คุณสราญรัตน์สัมภาษณ์พรนับพันว่าเป็นลูกใคร พอบอกชื่อพ่อแม่ก็ตกใจเพราะคาดไม่ถึงว่าจะเป็นลูกคนดังในสังคม คุณสราญรัตน์เอ็นดูพรนับพันเพราะลูกชายรักใครเธอรักด้วยอยู่แล้ว เพื่อนๆ ของแสนคมต่างก็เล่าเรื่องคืนนั้นให้พรนับพันฟัง
พรนับพันและเพลินตาขอตัวไปช่วยงานศพของกำนันคำ เพราะเห็นว่าทางนี้มีคนอยู่เยอะแล้ว งานศพของกำนันคำได้รับพระราชทานเพลิงศพอย่างสมเกียรติ ผู้ใหญ่สมปองและนางพวง พร้อมด้วยบดินทร์ พรนับพัน เพลินตา และชาวบ้านล้วนมาช่วยกันด้วยความเต็มใจ ดวงใจกลายเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญ และเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นหลังพ่อตาย ตาคะยอเอาพืชผักสวนครัวพร้อมผลไม้มาช่วยงาน สร้างความซาบซึ้งให้เกิดกับดวงใจไม่น้อย รวมทั้งน้ำใจของพรนับพัน และเพลินตาด้วย ที่ไม่ทิ้งกันเวลามีความทุกข์
เสี่ยเกรียงไกรหนีไปไม่รอดเพราะพลัดตกลงไปในช่องหิน โดยมีไกรภพนั่งร้องไห้มองดู เพราะไม่รู้จะช่วยอะไร เป็นไปตามกรรมเพราะขาข้างนั้นต้องตัดทิ้ง และยังต้องถูกจับเข้าคุกพร้อมหลักฐานต่างๆ แต่ความรักลูก เสี่ยเกรียงไกรบอกว่าทุกอย่างตัวเองเป็นคนกระทำทั้งหมดไกรภพไม่เกี่ยว
วันเผากำนันคำ แม่ชีกรแก้วพาไกรภพมาขอขมาศพโดยออกรับแทนลูก ทำให้ทุกคนเห็นความรักของแม่ จึงให้อภัย โดยเฉพาะนางสายใจกับดวงใจที่บอกว่าถึงโกรธไปเกลียดไปกำนันคำก็ไม่ฟื้น ไกรภพบอกว่าเพราะเหตุการณ์ต่างๆ ทำให้เขาได้คิดจะขอบวชให้กำนันคำ แสนคมจึงบอกว่าไกรภพมีแม่อันประเสริฐที่สุดแล้วที่ออกรับแทนลูกทั้งที่ไม่เกี่ยว และตามความเป็นจริงคนที่ยิงกำนันคำก็ไม่ใช่ไกรภพ
เหตุการณ์ต่างๆ ผ่านพ้นไปด้วยความโศกเศร้า พรนับพันหลังจากพบกับเหตุการณ์เศร้าสลด ทำให้คิดได้ว่าเวลาที่เหลืออยู่ควรใช้ให้คุ้มค่า อย่างที่ดวงใจบอกว่าพรนับพันยังโชคดีที่มีพ่อแม่อยู่ครบให้พูดขอโทษ พูดแสดงความรัก แต่ตัวเองสายไปแล้วถ้าแลกทรัพย์สินเงินทองที่มีทั้งหมดกับชีวิตพ่อจะขอเลือกพ่อ เพลินตาก็ช่วยพูดให้พรนับพันได้คิด ทั้งที่จริงแล้วพรนับพันได้คิดด้วยตัวเองแล้ว
พรนับพันอาสาเป็นครูสอนชาวบ้านตอนกลางคืน ตามพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถที่ทรงต้องการให้ชาวบ้านได้รู้หนังสือ โดยมีตาคะยอ จันดี จันทร์แรม มาเป็นนักเรียนด้วย เพลินตามีฝีมือทางการปักผ้าจนฝีมือนำหน้าครูแทบทุกคนจึงเอาดีทางนี้ ดวงใจก็ไปเรียนทอผ้าและเรียนหนังสือต่อให้จบเพื่อความภูมิใจของผู้เป็นแม่ พรนับพันนั้นรู้ว่าตัวเองมีพรสวรรค์ด้านการวาดรูป จึงเปลี่ยนไปเรียนวาดรูปแทน และภาพที่ตัวเองวาดด้วยความเผลอไผล คือภาพครอบครัวที่เคยวาดตั้งแต่เด็ก
นางพวงทำที่ดินของตัวเองให้เป็นแบบของตาคะยอโดยการปลูกกล้วยไข่ ปลูกพริก โดยมีจ่าโชติช่วยด้วย พรนับพันและเพลินตาตามจ่าโชติ ไปดูบดินทร์และจ่าทัศน์ฝึกควายแทนแสนคม แล้วต้องหัวเราะกับความน่ารักของควาย แสนคมบอกว่าปัจจุบันคนหันไปใช้รถไถกันมากทำให้ควายถูกมองข้าม สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงคำนึงถึงเรื่องนี้ ทรงอยากให้ควายอยู่คู่กับสังคมไทยไปเหมือนเดิม เพราะรถไถสิ้นเปลืองทั้งเงินทั้งน้ำมัน จึงทรงให้มีโรงเรียนควาย ธนาคารควายเกิดขึ้น
มีนักสังคมสงเคราะห์นำเอาอุปกรณ์การศึกษาพร้อมอุปกรณ์กีฬามามอบให้โรงเรียน รวมทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ และเครื่องพิมพ์งานมามอบให้ศูนย์ศิลปาชีพ ซึ่งนักสังคมสงเคราะห์ที่ว่าคือ บิดามารดาของพรนับพัน ซึ่งมีคุณปัทมากับปรางวลัยตามมาด้วย ทั้งคู่มามอบให้เป็นการส่วนตัว พรนับพันได้พบกับพ่อแม่โดยไม่รู้ตัว ทั้งที่ตัวเองกำลังจะโทรไปหาอยู่พอดี สร้างความดีใจจนต้องร้องไห้ พร้อมกับก้มลงกราบที่เท้าของพ่อแม่พูดขอโทษ ไม่ต่างอะไรกับคุณพรพรรณรายที่ร้องไห้ พร้อมทั้งขอโทษลูกที่ตบหน้า
คุณเมธีบอกว่าเขาปรับปรุงตัวเองใหม่แล้ว พรนับพันมองหน้าพ่อแม่ ที่เวลานี้ไม่มีรอยเคร่งเครียดเหมือนเก่าให้เห็นก็ดีใจ และถามผู้เป็นแม่เรื่องรูป ซึ่งได้รับคำตอบว่าไม่สนใจแล้ว เพราะรู้ว่าลูกไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะมีคนใส่ร้าย ปรางวลัยก็พูดว่าเธอไม่ได้ใส่ร้ายมันเป็นเรื่องจริง แสนคมเลยบอกว่าเขาอยู่ในเหตุการณ์รู้ว่าอะไรเป็นอะไร พรนับพันทำท่าจะเข้าไปตบแก้แค้นแต่แสนคมห้ามไว้ สองแม่ลูกจึงพากันหลบออกไปด้วยความอับอาย ทุกคนใจหายใจคว่ำนึกว่าพรนับพันจะทำจริง และพ่อแม่ลูกก็ปรับความเข้าใจกันท่ามกลางความดีใจของทุกคน