อิงฟ้า เผยช่วงเวลาดิ่งของชีวิต ต้องดึงตัวเองกลับมาให้ได้

เมื่อ "อิงฟ้า วราหะ" เป็นแขกรับเชิญคนพิเศษในรายการ "Club Friday Show" ก็ได้เปิดเรื่องราวในชีวิต พร้อมเผยช่วงเวลาดิ่งแบบทุกซอกทุกมุมในใจ  อิงฟ้า กล่าวว่า "ช่วงที่เราเสียคุณพ่อไป เราเสียของขวัญชิ้นใหญ่ของชีวิตไปเลย ตอนแรกเราก็คิดนะว่าคุณพ่อน่าจะอายุยืน เพราะท่านดูแข็งแรงดูเป็นฮีโร่ของเราทุกอย่าง พอวันหนึ่งเรามาทราบว่าเขาป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย คุณหมอก็แจ้งว่าอยู่ได้เต็มที่สี่เดือนนะ"


ความฝันหนึ่งของคุณพ่อคืออยากเห็น อิงฟ้า เป็นนักร้อง
"อยากเห็นเรามีชื่อเสียง ในตอนนั้นก็เหมือนว่าศิลปินต้องมีอัลบัม แล้วก็คือจะได้ดูเหมือนแบบภูมิใจที่สุด เพราะคือจุดสูงสุดของการร้องเพลง"


ถาม ตอนนั้นเราใกล้เคียงที่เขาจะได้เห็นบ้างไหม
"ช่วงที่ทราบว่าเขาป่วย ก็มีคนมาบอกว่ามีค่ายเพลงสนใจเรานะ ตอนนั้นช่วงเวลาที่เหลือสั้นเต็มทีแล้ว เลยตัดสินใจว่าไป ก็ไปที่ค่ายเพลงแล้วบอกว่าโอเคเดี๋ยวเราให้คุณพ่อคุณแม่มาอยู่ ได้มีเงินเดือนให้ เดี๋ยวครบกี่ปีนี้จะทำอัลบัมให้นะ และความเราเป็นเด็ก ณ ตอนนั้นยัง 17 ปีกว่าๆ แล้วแม่เราก็ซื่อมากๆ ความที่คนต่างจังหวัดไม่มีความรู้เรื่องอะไรเลย แล้วก็ไปกันแบบเหมือนรีบ ก็เซ็นทุกอย่างเรียบร้อย แล้วเราก็กลับมาบอกพ่อจะได้ทำเพลงแล้วนะ ท้ายที่สุดก็คือเขารับทราบแล้วก็ไปเลย"


วันที่อยู่ตรงค่ายเพลงตรงนั้น เริ่มเห็นเพลงของตัวเองแล้วหรือยัง
"หลายๆ อย่างไม่ได้เป็นไปตามที่เราวางแพลนหรือที่เราคิดเอาไว้ ด้วยปัญหาที่เกิดขึ้นเรารู้สึกว่าถ้าเราอยู่ตรงนี้เราเลี้ยงตัวเองได้คนเดียว แต่ว่าแม่เราเนี่ยไม่น่าจะรอดแล้ว ถ้าเรานึกถึงอนาคตยาวๆ ก็เลยตัดสินใจบอกพี่สาวที่อยู่ในกรุงเทพฯ ว่ามีงานอะไรให้เราทำไหม เขาก็บอกว่ามีหนึ่งงานก็คือพนักงานออฟฟิศ เกี่ยวกับกาแฟก็ตัดสินใจไปเลยทั้งที่ไม่มีเงินติดตัว ไม่มีอะไรเลยไปตายเอาดาบหน้า"


เคยเศร้าถึงขนาดคิดว่าไม่อยู่แล้วดีกว่า
"ทำงานหนักทุกวันแต่เงินไม่พอเลย รู้สึกว่าเหนื่อยกับการต้องมานั่งรับผิดชอบชีวิตเราแล้วก็คนข้างหลังด้วย มันฟุ้งซ่านไปหมด ทุกครั้งก็จะร้องไห้เหมือนคนสติแตกแล้วก็หลับไป ชอบฝันถึงพ่อ ในฝันคือพ่อกับแม่ เดินมาส่งเราหน้าโรงเรียน แล้วหน้าโรงเรียนก็จะมีร้านสะดวกซื้อ เราก็เดินเข้าไปแล้วก็หันมาถามเขาว่าพ่อจะเอาอะไรไหม เขาก็พูดกับเรากลับมาว่าพ่อไม่เอาอะไรเลย ขอให้หนูดูแลตัวเองรักตัวเอง"


มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เป็นข่าว อิงฟ้า อยากจะอธิบายในมุมของตัวเองบ้างไหม
"สิ่งที่เกิดขึ้นเรามองว่ามันคือความผิดพลาดของตัวเราเองในการสื่อสารออกไปกับทีมงาน หรือทางผู้ใหญ่ เราก็คิดว่าช่วงนี้สามวันนี้คือวันหยุดของเรา กลับกลายเป็นว่าตรงกับช่วงที่ต้องซ้อมเพื่อเตรียมตัวไปอินโดนีเซีย ซึ่งเราก็รู้สึกว่าทำไมต้องมาตรงกับวันที่เราจะหยุด ความต้องการแล้วก็สิ่งที่สื่อสารออกไปไม่ตรงกัน ก็เกิดความน้อยใจเกิดขึ้น"


คนในข่าวคบหรือไม่ได้คบกัน
"คือเพื่อนกัน แต่อาจจะมีความรู้สึกสนิทสนมมากกว่าคนทั่วไป ทริปที่ไปเนี่ยเราชวนเขาไง ที่เราจะไปเนี่ย ประมาณสองวันแล้วเราก็ชวนเขา แบบกะทันหัน ตัวเขาเองเขาก็ไม่ได้คิดอะไร ไปก็ไปเพราะว่าทริปนี้ไม่ได้มีแค่เรากับเขา คือเราไปทั้งหมดห้าคน มีเพื่อนเราอีก เรากะว่าไปสนุกสนานไปเที่ยวในที่ที่เราอยากไป เป็นอารมณ์นั้นเลย ก็ยังไม่ได้มีอะไร"


หลายคนสรุปไปเองว่าไปสองคน
"ถูกต้องค่ะ กลายเป็นแบบนั้นไป พอเราพูดก็ไม่มีใครฟังเรา เพราะความที่เขาคิดว่าเราเป็นเด็ก แล้วก็ดูเหมือนแบบเราเถียงหรือเปล่า เราแก้ตัวหรือเปล่า เราก็เลยโอเคในเมื่อเราพูดออกมาพูดหนึ่งครั้งแล้วดูเหมือนไม่มีประโยชน์ ก็ไม่พูดแล้วกัน"


ตอนนั้นทำให้ดิ่งอีกครั้งอย่างรุนแรงมาก
"คือถ้าเป็นปัญหาของเราคนเดียว คงไม่ได้ดิ่งมาก คนรอบข้างเราหรือคนที่ไปกับเรา เพื่อนเรา กลับกลายเป็นทุกคนต้องมาโดนด่าจากทริปนี้ ผู้ใหญ่ก็มองเราไม่ดีไปด้วย หรือผู้ใหญ่ก็เสียใจกับสิ่งที่เราทำ พูดก็พูดไม่ได้ อธิบายกับใครก็ไม่ได้ ก็เลยเก็บไว้กับเราคนเดียวจนเราไม่ไหว เหตุการณ์นี้ทำให้เราค้นพบว่าเรานี่แหละเป็นโรคซึมเศร้า มันมีช่วงโมเมนต์หนึ่งป้ายจอแอลอีดีมีรูปเราขึ้นมา ก็เลยเหมือนตบสติเรากลับมาว่ากว่าเราจะไปอยู่ตรงนั้นมันไม่ง่ายเลย แล้วทำไมเราถึงให้ค่ากับคนที่ดูถูกเรา ทำไมไม่ชื่นชมตัวเอง ก็ตัดสินใจโทรหาแม่แล้วแม่ก็ร้องไห้หนักมาก เขาไม่ถามเราเลยว่าอะไรมันเป็นมายังไง เราเลยเข้าใจว่าคนที่รักเราจริงๆ เขาจะไม่ถามหาเหตุผลอะไรจากเราเลย เขาขอให้เรา ณ ตอนนั้นจดจ่อกับตัวเองก่อน ดึงตัวเองกลับมาให้ได้ แต่ท้ายที่สุดคุณหมอก็บอกว่าอยู่ที่ใจเรา ถ้าหนูโฟกัสในสิ่งที่เป็นทุกข์มากๆ กินยาก็ช่วยไม่ได้"

#อิงฟ้าวราหะ