ส่อง 3 ธุรกิจที่ปรับตัวในช่วงโควิด-19 ออฟไลน์สู่ออนไลน์
10 ก.ค. 66 21:59 น. /
ดู 2,033 ครั้ง /
1 ความเห็น /
0 ชอบจัง
/
แชร์
hashtag:
#ออฟไลน์สู่ออนไลน์
ด้วยวิกฤติโควิด19 ที่ผ่านมา ทำให้เรากลายเป็นคนเสพข่าวมากขึ้นเพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ก็จะเห็นธุรกิจน้อยใหญ่รีบปรับตัวให้เข้ากับวิกฤตินี้ ผลกระทบครั้งนี้ทำให้ยักษ์ใหญ่วงการดิวตี้ฟรี "คิงเพาเวอร" ก็ยังต้องประกาศปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจช่วงวิกฤติไวรัสเลย
ในช่วงนั้น ดิวตี้ฟรี คิงเพาเวอร์ ดูเหมือนจะเป็นธุรกิจแรกๆ ที่ได้รับผลกระทบเพราะต้องปิดสนามบิน ปิดสาขา ไม่มีเที่ยวบิน ไม่มีใครอยากเดินทาง จะให้ไปซื้อของในดิวตี้ฟรีแล้วไปรับที่สนามบินก็คงไม่ได้ ก็เลยเปลี่ยนมาเป็นให้ลูกค้าสั่งของแบรนด์เนมจากเว็บไซต์ แล้วส่งถึงบ้าน ไม่มีขั้นต่ำและที่สำคัญราคาสินค้านั้น เป็นราคาดิวตี้ฟรี!! อย่างที่เราเคยรู้กันว่าสินค้าดิวตี้ฟรีที่เป็นแบรนด์เนมจะมีราคาที่ถูกกว่าช้อป หรือห้างในเมืองอยู่แล้ว จึงนับได้ว่าสินค้าแบรนด์เนมที่จำหน่ายใน www.KingPower.com เป็นของแท้ราคาดีนั่นเอง (ที่รู้เพราะมันขึ้นแอดโฆษณาในเฟสบุ๊ก เลยแว้บไปดูมาพบว่าสกินแคร์ถูกจริงๆ ด้วย)
และปัจจุบันนี้ คิงเพาเวอร์ก็ออก https://www.firster.com/ และแอปพลิเคชัน FIRSTER BEAUTY และ FIRSTER LIFESTYLE ที่ App Store และ Play Store มาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างต้องปรับตัวจริงๆ
พี่ใหญ่อีกเจ้าหนึ่งที่มีการปรับตัวเช่นกันคือเซเว่นอีเลฟเว่น การปรับตัวอันนี้รับรู้ด้วยตัวเองเลย เพราะเวลาไปซื้อของจะเห็นป้ายและพนักงานเซเว่น บอกลูกค้าให้แอดไลน์ร้านแล้วใครอยากสั่งอะไรก็สั่งเลย แต่ให้สะดวกยิ่งขึ้นเซเว่นก็มีแอพพลิเคชั่นเดลิเวอรี่โดยตรง เลือกได้ว่าจะให้มาส่งหรือไปรับที่ร้านเอง นอกจากเพิ่มความสะดวกลดการออกจากบ้านของผู้ใช้บริการแล้ว บริการจัดส่งครั้งนี้ทางเซเว่นก็ยังประกาศรับสมัครทีมงานส่งเดลิเวอรี่จำนวน 20,000 อัตราทั่วประเทศอีกด้วย เป็นการสร้างอาชีพได้อีกทางหนึ่ง จนปัจจุบัน เซเว่นมี App เซเว่นดิลิเวอรี่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อีกหนึ่งธุรกิจอาหารที่ต้องปรับตัวก็คือ ชาบูเพนกวิ้น ร้านนี้เป็น SME ที่มีหลายสาขาอยู่ในกรุงเทพฯ จำไม่ผิดเป็นร้านแรกๆ เลยที่ต้องมีการรปรับตัว เคยนั่งดูสัมภาษณ์เจ้าของธุรกิจเขาบอกว่า ความต้องการกินชาบูยังคงมีอยู่ ลูกน้องก็ยังคงต้องดูแล ก็เลยต้องเลือกวิธีการปรับตัว เอาอาหารที่สต็อกไว้ นำออกมาจัดเป็นชุดชาบูขาย ลูกน้องคนไหนมีมอเตอร์ไซค์ก็ได้รับตำแหน่งเป็นพนักงานจัดส่งอาหาร
แต่โดยไม่ว่าธุรกิจขนาดไหน ก็จะเห็นได้ว่ามีการปรับตัวในโมเดลที่คล้ายๆ กันหมด คือ "เดลิเวอรี่" "ส่งตรงถึงบ้าน" โดยมีเหตุผลหลักก็คือ "ลูกน้อง" หรือ "พนักงาน" ที่ตัวเองดูแลอยู่ ถึงแม้ว่ารายได้ที่เขามาอาจจะไม่ได้เป็นกอบเป็นกำเหมือนแต่ก่อน แต่มันก็ทำให้ชีวิตของพนักงาน รวมไปถึงนายจ้าง และธุรกิจมันยังพอเดินหน้าต่อไปได้ แล้วความน่ารักคือ ลูกน้องก็เข้าใจในสถานการณ์ต่างคนต่างช่วยเหลือกันในยามวิกฤติแบบนี้ก็ต้องชื่นชมที่ไม่มีใครทิ้งกันในยามลำบาก
ปัจจุบันเพนกวินฯ มีร้าน 8 สาขา พนักงานกว่า 200 ชีวิต ตีโจทย์ธุรกิจใหม่ สู้วิกฤติยิบตา มีท้อบ้าง แต่ถอดใจไม่ได้ เพราะภาระค่าใช้จ่ายคือแรงกดดัน ผลักดันอยู่เบื้องหลัง ทั้งครอบครัวตนเอง พนักงานต้องดูแล ซึ่งพนักงานก็มีครอบครัวต้องรับผิดชอบอีกทอด อีกทั้ง ธนพงศ์ มีฉายา "ผู้ชายขายบริการ" สร้างเพจเฟสบุ๊คเพื่อให้คำแนะนำแก่ผู้ประกอบการร้านอาหาร จะยกธงขาวปราชัยต่อวิกฤติคงไม่ได้ นาทีนี้จึงต้องฮึด! สู้ต่อ เพื่อรอวันฟ้าใส ธุรกิจฟื้นและกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง
"ถ้าเราไม่สู้ จะมีหน้าบอกใครให้สู้ และถ้าจะตายขอตายแบบนักรบบางระจัน"
ในฝั่งของธุรกิจยักษ์ใหญ่นอกจากจะต้องปรับกลยุทธ์ให้องค์กรรอดแล้ว ก็ยับพบเห็นได้ยังได้มีการช่วยเหลือสังคมอีกส่วนหนึ่งด้วยเช่นกัน อย่างคิงเพาเวอร์ก็ได้บริจาคเงิน 45 ล้านบาท ให้ 3 หน่วยงานบริการทางการแพทย์ เพื่อใช้ในการจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์ การตรวจรักษา สร้างกำลังใจบุคลากรการแพทย์ และเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงทีตามเจตนารมณ์ผู้ก่อตั้งมูลนิธิฯ ที่ต้องการสนับสนุนงานด้านสาธารณสุขของประเทศ
เซเว่นฯ ก็ได้ทำโครงการ "คนไทยไม่ทิ้งกัน" มอบของอุปโภค-บริโภค ให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด19 เช่นกัน
วิกฤตินี้ทำให้เราเห็นได้ว่าไม่ว่าธุรกิจจะเป็นระดับเล็ก กลาง ใหญ่ ต่างก็ปรับตัวเพื่อการเอาอยู่รอด ไม่ใช่แค่ธุรกิจของตัวเองอย่างเดียว มันส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจที่ทำให้เศรษฐกิจยังขับเคลื่อนต่อไปได้ ในส่วนของภาคสังคมพี่ใหญ่ก็ยังไม่ลืมคนตัวเล็ก ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด19
https://pantip.com/topic/39827232/
https://www.bangkokbiznews.com/business/941886
#ออฟไลน์สู่ออนไลน์
#ธุรกิจช่วงโควิด-19
และปัจจุบันนี้ คิงเพาเวอร์ก็ออก https://www.firster.com/ และแอปพลิเคชัน FIRSTER BEAUTY และ FIRSTER LIFESTYLE ที่ App Store และ Play Store มาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างต้องปรับตัวจริงๆ
พี่ใหญ่อีกเจ้าหนึ่งที่มีการปรับตัวเช่นกันคือเซเว่นอีเลฟเว่น การปรับตัวอันนี้รับรู้ด้วยตัวเองเลย เพราะเวลาไปซื้อของจะเห็นป้ายและพนักงานเซเว่น บอกลูกค้าให้แอดไลน์ร้านแล้วใครอยากสั่งอะไรก็สั่งเลย แต่ให้สะดวกยิ่งขึ้นเซเว่นก็มีแอพพลิเคชั่นเดลิเวอรี่โดยตรง เลือกได้ว่าจะให้มาส่งหรือไปรับที่ร้านเอง นอกจากเพิ่มความสะดวกลดการออกจากบ้านของผู้ใช้บริการแล้ว บริการจัดส่งครั้งนี้ทางเซเว่นก็ยังประกาศรับสมัครทีมงานส่งเดลิเวอรี่จำนวน 20,000 อัตราทั่วประเทศอีกด้วย เป็นการสร้างอาชีพได้อีกทางหนึ่ง จนปัจจุบัน เซเว่นมี App เซเว่นดิลิเวอรี่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อีกหนึ่งธุรกิจอาหารที่ต้องปรับตัวก็คือ ชาบูเพนกวิ้น ร้านนี้เป็น SME ที่มีหลายสาขาอยู่ในกรุงเทพฯ จำไม่ผิดเป็นร้านแรกๆ เลยที่ต้องมีการรปรับตัว เคยนั่งดูสัมภาษณ์เจ้าของธุรกิจเขาบอกว่า ความต้องการกินชาบูยังคงมีอยู่ ลูกน้องก็ยังคงต้องดูแล ก็เลยต้องเลือกวิธีการปรับตัว เอาอาหารที่สต็อกไว้ นำออกมาจัดเป็นชุดชาบูขาย ลูกน้องคนไหนมีมอเตอร์ไซค์ก็ได้รับตำแหน่งเป็นพนักงานจัดส่งอาหาร
แต่โดยไม่ว่าธุรกิจขนาดไหน ก็จะเห็นได้ว่ามีการปรับตัวในโมเดลที่คล้ายๆ กันหมด คือ "เดลิเวอรี่" "ส่งตรงถึงบ้าน" โดยมีเหตุผลหลักก็คือ "ลูกน้อง" หรือ "พนักงาน" ที่ตัวเองดูแลอยู่ ถึงแม้ว่ารายได้ที่เขามาอาจจะไม่ได้เป็นกอบเป็นกำเหมือนแต่ก่อน แต่มันก็ทำให้ชีวิตของพนักงาน รวมไปถึงนายจ้าง และธุรกิจมันยังพอเดินหน้าต่อไปได้ แล้วความน่ารักคือ ลูกน้องก็เข้าใจในสถานการณ์ต่างคนต่างช่วยเหลือกันในยามวิกฤติแบบนี้ก็ต้องชื่นชมที่ไม่มีใครทิ้งกันในยามลำบาก
ปัจจุบันเพนกวินฯ มีร้าน 8 สาขา พนักงานกว่า 200 ชีวิต ตีโจทย์ธุรกิจใหม่ สู้วิกฤติยิบตา มีท้อบ้าง แต่ถอดใจไม่ได้ เพราะภาระค่าใช้จ่ายคือแรงกดดัน ผลักดันอยู่เบื้องหลัง ทั้งครอบครัวตนเอง พนักงานต้องดูแล ซึ่งพนักงานก็มีครอบครัวต้องรับผิดชอบอีกทอด อีกทั้ง ธนพงศ์ มีฉายา "ผู้ชายขายบริการ" สร้างเพจเฟสบุ๊คเพื่อให้คำแนะนำแก่ผู้ประกอบการร้านอาหาร จะยกธงขาวปราชัยต่อวิกฤติคงไม่ได้ นาทีนี้จึงต้องฮึด! สู้ต่อ เพื่อรอวันฟ้าใส ธุรกิจฟื้นและกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง
"ถ้าเราไม่สู้ จะมีหน้าบอกใครให้สู้ และถ้าจะตายขอตายแบบนักรบบางระจัน"
ในฝั่งของธุรกิจยักษ์ใหญ่นอกจากจะต้องปรับกลยุทธ์ให้องค์กรรอดแล้ว ก็ยับพบเห็นได้ยังได้มีการช่วยเหลือสังคมอีกส่วนหนึ่งด้วยเช่นกัน อย่างคิงเพาเวอร์ก็ได้บริจาคเงิน 45 ล้านบาท ให้ 3 หน่วยงานบริการทางการแพทย์ เพื่อใช้ในการจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์ การตรวจรักษา สร้างกำลังใจบุคลากรการแพทย์ และเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงทีตามเจตนารมณ์ผู้ก่อตั้งมูลนิธิฯ ที่ต้องการสนับสนุนงานด้านสาธารณสุขของประเทศ
เซเว่นฯ ก็ได้ทำโครงการ "คนไทยไม่ทิ้งกัน" มอบของอุปโภค-บริโภค ให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด19 เช่นกัน
วิกฤตินี้ทำให้เราเห็นได้ว่าไม่ว่าธุรกิจจะเป็นระดับเล็ก กลาง ใหญ่ ต่างก็ปรับตัวเพื่อการเอาอยู่รอด ไม่ใช่แค่ธุรกิจของตัวเองอย่างเดียว มันส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจที่ทำให้เศรษฐกิจยังขับเคลื่อนต่อไปได้ ในส่วนของภาคสังคมพี่ใหญ่ก็ยังไม่ลืมคนตัวเล็ก ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด19
https://pantip.com/topic/39827232/
https://www.bangkokbiznews.com/business/941886
#ออฟไลน์สู่ออนไลน์
#ธุรกิจช่วงโควิด-19
แก้ไขล่าสุด 10 ก.ค. 66 22:08 |
เลขไอพี : ไม่แสดง
| ตั้งกระทู้โดย Windows 10
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google